บทที่ 1369 ดำรงอยู่ยามราตร

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หลังจากหวังเป่าเล่อพูดออกไป เสียงลมหายใจข้างหูก็ชะงัก ทว่าพริบตาต่อมาเสียงแกรกกรากก็ดังมาจากนอกหน้าต่างราวกับกำลังมีเล็บตะกายอยู่ตรงนั้น

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เพราะตอนนี้เขาอยู่ในเมืองปรารถนาเสียง ไม่อิสระเท่าข้างนอก กฎเกณฑ์ปรารถนารสถูกปิดผนึกไว้และไม่เหมาะที่จะเปิดเผย ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อเหลือบมองหน้าต่างว่างเปล่าแล้วก็หันหลังเมินมันไปเสีย เขานั่งขัดสมาธิลงและเริ่มทำสมาธิ

เพียงแต่ว่า…แม้เวลาจะผ่านไปแล้วเสียงแกรกกรากด้านนอกก็ยังคงดังไม่หยุด แล้วยังมีเสียงทุบคล้ายกับสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างกำลังไม่พอใจท่าทีของหวังเป่าเล่อมาก จึงออกแรงทุบหน้าต่าง

เสียงทุบที่ดังมานั้นสั่นสะเทือนไปทั่วห้องทำให้เกิดเสียงดังสะท้อนไปมาจนหวังเป่าเล่อทำสมาธิได้ยาก อันที่จริงเสียงนั้นล้วนพุ่งเข้ามาในร่างกายของเขาส่งผลให้กฎปรารถนาเสียงปั่นป่วนไปด้วย

สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นแล้วเดินไปยืนข้างหน้าต่างด้วยสีหน้าถมึงทึง จ้องมองความว่างเปล่าด้านนอกอย่างเย็นชา เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เสียงทุบและเสียงหายใจก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

“เจ้ารนหาที่ตายสินะ” หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มเผยฟันเรียงตัวแน่นข้างใน มือขวาพลันยกขึ้นเปิดหน้าต่างแล้วคว้าออกไปจับด้านหน้าอย่างแรงแล้วดึงกลับเข้ามาในพริบตา ก่อนจะโยนมันเข้าปากโดยไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ จากนั้นก็ปิดหน้าต่างพร้อมกับเคี้ยวไปด้วย

เสียงกรุบกรอบพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในห้อง หวังเป่าเล่อสีหน้าไร้อารมณ์ บดเคี้ยวอย่างแรงแล้วกลับมานั่งขัดสมาธิลงที่เดิม

ไม่นานเสียงโหยหวนในหูก็ค่อยๆ อ่อนเสียงลงจนกระทั่งเงียบหายไป บริเวณโดยรอบกลับมาเป็นปกติ ไร้เสียงทุบก่อกวน ไร้เสียงแกรกกราก เสียงหายใจก็ยิ่งไม่พบเจอเลย

ในความเงียบสงัด หวังเป่าเล่อปิดตาทำสมาธิอย่างอารมณ์ดี

เป็นเช่นนี้จนค่ำคืนผ่านไป

เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตามองไปทางหน้าต่าง ทุกอย่างด้านนอกก็กลับมาเป็นปกติ ตึกสูง เสียงจอกแจกจอแจ และเสียงดนตรีดังมาจากที่ไกลๆ ดูครึกครื้นมาก

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อหวนนึกถึงชีวิตในสหพันธรัฐอีกครั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์ เขาเดินออกจากห้องมาและในตอนนั้นเองก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ในร้านอาหารมีผู้คนมากมายพักอยู่ที่นี่ไม่ต่างจากเขา ที่นี่มีบริกรเยอะมาก แต่ตอนที่หวังเป่าเล่อเดินออกมา แขกเหล่านั้นยังดูปกติดี แต่บริกรของร้านอาหารแห่งนี้เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อก็แสดงท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัดราวกับยำเกรงเขามาก

“หรือว่าเมื่อคืนจะได้ยินเสียงโหยหวนจากห้องข้า?” หวังเป่าเล่อกวาดตามอง เหล่าบริกรต่างก้มหน้าหลบ ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะออกไปนอกร้าน ตอนนั้นเองชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มบริกร

ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวภูมิฐาน ดูเรียบร้อยและพิถีพิถันอย่างยิ่ง เขาเรียกตนว่าพ่อบ้านและสุภาพกับหวังเป่าเล่อมาก หลังจากพูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ยังยกระดับห้องให้หวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอยู่ห้องที่ใหญ่กว่าเดิมด้วย

หวังเป่าเล่อไม่ปฏิเสธและไม่ได้ถามอีกฝ่ายว่าทำเช่นนั้นเพราะอะไร เขาพอจะมีคำตอบในใจแล้ว ดังนั้นหลังจากตอบรับน้ำใจจึงเดินออกมาจากร้านอาหารและไปเดินเล่นในเมืองปรารถนาเสียง

รถเหาะผ่านไปทีละคัน หวังเป่าเล่อสับสนเล็กน้อยราวกับว่าที่ที่เขาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่มิติเต๋าต้นกำเนิด แต่เป็นสหพันธรัฐ บางครั้งยังมีขบวนพาเหรดเดินถือป้ายผ่านไป ทุกอย่างสงบสุขมาก ทำให้ผู้คนสำราญกายสำราญใจจนอดที่จะจมดิ่งลงไปกับมันไม่ได้

กระทั่งเที่ยงวัน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้อักขระเสียงที่เขารู้แจ้งมาเข้าร่วมสำนักเหอเสียน แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตนเอง…หาที่ตั้งของสำนักเหอเสียนไม่เจอ

เมื่อวานเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ และหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้ถาม เพราะตามที่เขาเข้าใจเมืองปรารถนาเสียงไม่ได้ใหญ่โต ทุกคนย่อมรู้จักที่ตั้งของสามสำนักใหญ่

ทว่าตอนนี้เขาหามานานแล้วก็ยังไม่พบการมีอยู่ของสำนักเลย เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากเขาใช้ปราณแห่งสุขเข้าไปสอบถามผู้คนมากมายก็ไม่มีใครรู้เลย นั่นยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อตกใจกว่าเดิม

“สามสำนักใหญ่ ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงล้วนรับรู้ว่ามีพวกเขาอยู่ แต่มีไม่กี่คนที่รู้ที่ตั้งของพวกเขา…หรือว่า…สำนักเหอเสียนกับเมืองปรารถนาเสียงจะไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน หรือเวลากลางวันจะมองไม่เห็นสำนักเหอเสียน” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดก่อนจะกลับมายังที่พักของตน เขาได้รับการต้อนรับอย่างนอบน้อม บริกรพาเขาไปส่งยังห้องพักใหม่ แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปหวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“เชิญพ่อบ้านของพวกเจ้ามาหน่อย”

เมื่อบริกรได้ยินก็พยักหน้าและรีบจากไป ไม่นานหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างในห้องก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เขาสะบัดมือขวาแล้วประตูก็เปิดออกทันที พ่อบ้านที่แต่งตัวเรียบร้อยผู้นั้นยืนยิ้มน้อยๆ อยู่หน้าประตู

“ผู้อาวุโส ข้าเข้าไปได้หรือไม่”

“เชิญ” หวังเป่าเล่อหันกลับมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

พ่อบ้านวัยกลางคนก็ยิ้มให้เช่นกัน หลังจากเข้ามาในห้องก็ปิดประตูและยืนรอคำสั่งจากหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้น ท่าทีเช่นนี้ทำให้ผู้คนสบายใจมาก หวังเป่าเล่อเหลือบมองก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยช้าๆ

“จะเข้าสำนักเหอเสียนได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อไม่อ้อมค้อมและถามอย่างตรงประเด็น

สีหน้าพ่อบ้านวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขามองหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวังก่อนจะตอบด้วยความเคารพ

“จำเป็นต้องมีเสียงที่มาจากสำนักเหอเสียนขอรับ…” อีกฝ่ายเอ่ยถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นมา เผยให้เห็นอักขระเสียงเปล่งประกายอยู่ในมือ

อักขระเสียงนี้ทำให้พ่อบ้านวัยกลางคนหายใจถี่กระชั้นขึ้นทันที ดวงตาเขาเป็นประกาย

“บอกที่ตั้งของสำนักเหอเสียนที” หวังเป่าเล่อกล่าวเบาๆ

“ผู้อาวุโส สำนักเหอเสียนอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงและไม่ได้อยู่ในเมืองปรารถนาเสียง ที่บอกว่าอยู่เพราะมันตั้งอยู่ที่นี่ ที่บอกว่าไม่อยู่เพราะสถานที่นั้นต่างกัน”

“สามสำนักใหญ่ดำรงอยู่…ในยามราตรี”

“ค่ำคืนมืดมิดเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งนั้น เมืองปรารถนาเสียงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

“ดังนั้นหากผู้อาวุโสอยากเข้าสำนักเหอเสียนก็ต้องออกไปข้างนอกในเวลากลางคืนและใช้อักขระเสียงในมือท่าน มันจะดึงดูดท่านไปยังที่ตั้งของสำนักเหอเสียนเอง”

หวังเป่าเล่อไตร่ตรอง นี่คล้ายกับที่เขาคาดเดาไว้จึงพยักหน้า ตอนที่กำลังจะจบบทสนทนา พ่อบ้านวัยกลางคนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งขึ้น

“ผู้อาวุโส ท่านต้องการข้ารับใช้เสียงหรือไม่”

“ผู้ฝึกตนทุกคนที่เข้าร่วมสามสำนักใหญ่ได้สำเร็จ ตามกฎแล้วจะมีข้ารับใช้เสียงได้หนึ่งคน ในฐานะข้ารับใช้เสียงจะช่วยดูแลชีวิตประจำวันของท่าน ขณะเดียวกันก็จะมีคุณสมบัติในการฝึกฝนที่สามสำนักใหญ่ด้วยขอรับ”

“เจ้านายของเรายินดีจะยกทายาทของเขาให้เป็นข้ารับใช้เสียงของผู้แข็งแกร่ง…ด้วยเหตุนี้จึงยินดีที่จะให้ราคาที่ท่านพอใจขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนเอ่ยเสียงเบา

“มีร้านอาหารเป็นธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ในเมืองปรารถนาเสียง เจ้านายพวกเจ้ายังขาดแคลนผู้แข็งแกร่งที่ต้องการข้ารับใช้เสียงอีกหรือ” หวังเป่าเล่อมองพ่อบ้านวัยกลางคน

“เจ้านายของเรา…มีทายาทหลายคนน่ะขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนอธิบายด้วยท่าทีอึกอัก