บทที่ 1370 สู่ราตร

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เรื่องข้ารับใช้เสียงนั้นหวังเป่าเล่อไม่ได้ตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เข้าร่วมสำนักเหอเสียน เรื่องนี้ไว้รอให้เขาเข้าสำนักได้ก่อนค่อยชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก็ยังไม่สาย

เมื่อพ่อบ้านจากไป ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มหม่นแสงลงแล้ว หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องและรอคอยอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดในใจ

“สามสำนักใหญ่ที่ดำรงอยู่ในยามราตรีเท่านั้น…” หวังเป่าเล่อหรี่ตามองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ยามสายัณห์กำลังจะผ่านพ้น ราตรีกาลคืบคลานมาอย่างรวดเร็ว และความเงียบสงัดก็กลายเป็นบรรยากาศหลักของห้องนี้

เวลาไหลผ่านไป ภายในห้องก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ คนเดินถนนด้านนอกหน้าต่างก็น้อยลงเช่นกัน และเมื่อแสงสว่างถูกความมืดกลืนกินจนหมดสิ้น…เวลากลางคืนก็มาถึง

ดังเช่นเมื่อวาน ทั้งนอกและในห้องเงียบสงัดไปทุกหนแห่ง

ในความเงียบนี้หวังเป่าเล่อเงยหน้าลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู

เขาไม่ได้เปิดหน้าต่างแอบออกไปเพราะไม่จำเป็น

เวลากลางคืนของเมืองปรารถนาเสียงอาจอันตรายมากสำหรับหลายคน แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่เดินออกมาจากป่าทึบ ไล่ล่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนั้นก็ไม่ต่างไปจากการเดินเล่นในสวนหลังบ้านตัวเอง

แน่นอนว่าในกรณีที่ไม่เจอเข้ากับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเหล่านั้น โชคดีที่…ในโลกที่สามารถรับรู้ได้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงใบนั้น สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีไม่มากนักและไม่ค่อยปรากฏตัว

ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อผลักประตูออกไป เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในหูทันที แต่สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย แค่ยกมือขวาขึ้นมาแล้วคว้าไปทางขวา

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลงกะทันหัน

“ข้าไม่ชอบเสียงหัวเราะแบบนี้ ต่อไปไม่หัวเราะได้ไหม” หวังเป่าเล่อมองพื้นด้านขวาที่ว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าในมือของตนไม่มีอะไรเลย แต่อาการสั่นสะเทือนที่ส่งไปยังมือขวาของเขานั้นราวกับมีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งกำลังพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง

หวังเป่าเล่อคลายมืออย่างพึงพอใจ เขารู้ว่าตนไม่ใช่ฆาตกร ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายตัวเล็กเกินกว่าจะยัดเข้าซอกฟันจึงปล่อยมันไป

“ข้าเป็นคนมีเหตุผล” หวังเป่าเล่อบอกตัวเองเช่นนี้แล้วเดินต่อไป ภายในร้านอาหารเวลานี้เงียบสงัดมาก เขาเดินตรงไปที่ประตูใหญ่

ระหว่างทางเดินผ่านห้องต่างๆ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าในแต่ละห้องล้วนมีผู้ฝึกตนอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดประตูราวกับร้านอาหารแห่งนี้กลายเป็นเขตหวงห้าม แต่หวังเป่าเล่อกลับเดินเข้าไปในเขตหวงห้ามนี้จนออกจากประตูมายืนอยู่บนถนน เขามองความว่างเปล่ารอบตัวและสัมผัสความเงียบยามค่ำคืน ในหูได้ยินเสียงลมพัดโหยหวน

ลมนั้นเย็นยะเยือกและกัดกร่อนราวกับมีมือเย็นเฉียบนับไม่ถ้วนกำลังจับไปทั่วร่างหวังเป่าเล่อ นี่ควรจะเป็นฉากที่เย้ายวน แต่ในยามที่ฉากหลังมืดมิดและเงียบเชียบแบบนี้กลับดูน่าขนลุกมาก

หวังเป่าเล่อไม่สนใจ นั่นยิ่งทำให้ภายในร่างกายปั่นป่วนราวกับผนึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสอยากจะระเบิดออกมากลืนกินทุกสิ่ง

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ หวังเป่าเล่อจึงเดินไปภายในเมืองในยามราตรี หูของเขา ได้ยินเสียงแปลกๆ มากมายดังมาเหมือนกับมีสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของตนมากขึ้นเรื่อยๆ มันพุ่งมาจากทุกทิศทาง

พริบตาที่พวกมันเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาและพลิกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นในมือพลันปรากฏอักขระเสียงขึ้น อักขระเสียงนี้เปล่งแสงจางๆ และส่งเสียงตุ้บๆ เบาๆ

ภายใต้แสงและเสียงนี้ สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มารวมตัวกันก็ดูจะวิตกกังวล พวกมันไม่ได้รีบร้อนพุ่งเข้ามา แต่วนเวียนอยู่รอบๆ คอยรอโอกาสด้วยความมุ่งร้าย

หวังเป่าเล่อสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ หากไม่ใช่เพราะเขาอยากเข้าสำนักเหอเสียนก็คงไม่อยากเผยตัวตนหรอก ตอนนี้สิ่งมีชีวิตโดยรอบกำลังจะกลายเป็นอาหารของเขา

หวังเป่าเล่อไม่สนใจเสียงมากมายที่ดังเข้าหู เขาก้มมองอักขระเสียงในมือและผสานดวงจิตเทพลงไป จากนั้นก็เกิดความรู้สึกบางอย่างในความมืดราวกับว่าในที่ไกลๆ เบื้องหน้าตนมีเสียงเรียกหนึ่งกำลังดึงดูดเขาอยู่

“สำนักเหอเสียนหรือ…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งมีชีวิตประหลาด รอบตัวเขาก็ตามติดเหมือนผี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะกลายเป็นคบเพลิงดึงดูดความสนใจในราตรีนี้แล้ว

ส่วนอักขระเสียงในมือเขาก็หรี่แสงลงอย่างรวดเร็ว และในความมืดนี้หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงหายใจเหมือนกับว่ารอบตัวเขามีเงาร่างมากมายกำลังเป่าอักขระเสียงในมือเขา ราวกับเห็นมันเป็นเทียนและต้องการดับมัน

เมื่อแสงอักขระเสียงค่อยๆ จางลง ความชั่วร้ายก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณราวกับว่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มารวมตัวกันเหล่านี้กำลังรอให้แสงของอักขระเสียงดับลงอย่างสมบูรณ์

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นในเวลานี้คงตื่นตระหนกมาก แต่หวังเป่าเล่อเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อย และเดินต่อไปด้วยสีหน้าปกติ เขาได้ยินเสียงหายใจและเสียงฝีเท้ารอบด้าน ดูเหมือนมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ และอักขระเสียงในมือก็เริ่มหม่นแสงลง

นั่นทำให้ประกายเย็นยะเยือกในดวงตาหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นช้าๆ ในใจของเขาชั่งน้ำหนัก เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ อักขระเสียงดับนั้นเรื่องเล็ก แต่ไม่มีหลักฐานที่ใช้เข้าร่วมสำนักเหอเสียนสิเรื่องใหญ่

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงหยุดฝีเท้าและเก็บอักขระเสียงในมือ ทว่าตอนนั้นเองใบหน้าหวังเป่าเล่อก็กระตุกเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปยังที่ไกลๆ ไม่นานก็เห็นโคมสี่อันลอยเข้ามาใกล้ในราตรีมืดมิดนี้

เมื่อเข้ามาใกล้ก็เผยให้เห็นร่างผอมแห้งสี่ร่าง รวมถึงเกี้ยวแดงที่พวกเขาแบกอยู่ และยังมีแขนสีขาวราวกับหยกข้างหนึ่งยื่นออกมาจากม่านของเกี้ยว

แขนนั้นแกว่งไปมาอย่างอิสระราวกับว่าเจ้าของอารมณ์ดีมาก หวังเป่าเล่อยังได้ยินเสียงฮัมเพลงด้วย

ค่ำคืนมืดมิด เมืองรกร้าง เกี้ยวสีแดง…

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ เมื่อเกี้ยวมาถึง เขาได้ยินเสียงถอยกรูออกไปมากมายราวกับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นพรั่นพรึงต่อต่อเกี้ยวนี้

ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่รู้สึกถึงลมปราณของผู้ฝึกตนจากในเกี้ยวสีแดงแม้แต่น้อย

“ไม่ใช่ผู้ฝึกตน…และสี่คนที่แบกเกี้ยวนั่น…ก็ไม่ใช่มนุษย์” ขณะครุ่นคิดหวังเป่าเล่อก็หลีกทางให้ ปล่อยให้เกี้ยวลอยผ่านเขาไป ร่างทั้งสี่ที่แบกเกี้ยวไม่หันมามองหวังเป่าเล่อเลยสักนิด สิ่งที่อยู่ในเกี้ยวก็เช่นกัน แขนที่ยื่นออกมาจากม่านยังคงแกว่งไกว

ทว่า ตอนนั้นเองขณะที่เกี้ยวกำลังลอยผ่านร่างหวังเป่าเล่อ ลมที่พัดผ่านเข้ามาก็พัดเอาม่านตรงหน้าต่างของเกี้ยวให้เลิกขึ้นเล็กน้อย หวังเป่าเล่อที่หันไปมองพอดีจึงได้เห็นที่นั่งว่างเปล่าในม่านที่ยกขึ้นนั่น

มีแต่แขนข้างนั้นที่ส่วนหนึ่งยื่นออกไปด้านนอก อีกส่วนหนึ่งพาดอยู่ในเกี้ยว เหลือเพียงเลือดสีม่วงหยดติ๋งๆ…

และในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเห็นทุกอย่างนั้นเอง จู่ๆ… เกี้ยวก็หยุดลง

……………………………………………