บทที่ 1371 สำนักเหอเสียน

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ตำแหน่งที่มันหยุดคือข้างกายหวังเป่าเล่อพอดีและยังใกล้มากอีกด้วย ตอนที่มันหยุดลง แขนขาวดั่งหยกที่ยื่นออกมาจากม่านข้างนั้นก็ยกขึ้นเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าเหมือนกับต้นหอม ดูเรียวสวยมาก โดยเฉพาะเล็บสีแดงยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์เย้ายวน

ตอนนี้มันกำลังยกขึ้นช้าๆ และเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อราวกับดอกกหลานฮวาที่กำลังบานสะพรั่ง

หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาฉายประกายเย็นวาบ เขาไม่ได้ทำตัวโดดเด่นมากเกินไปในโลกที่สัมผัสได้ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงภายในเมืองปรารถนาเสียงนี้

อาจเพราะสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่เขาดึงดูดมา จึงทำให้แขนในเกี้ยวตรงหน้าดูจะสนอกสนใจเขาเป็นพิเศษ

อย่างก่อนหน้านี้เขาก็หลีกทางให้แล้วและไม่คิดจะไปค้นหาความลับของเกี้ยวนี้ด้วย แต่เห็นได้ชัดว่า…แม้เขาจะอยากหลีกทาง แต่เกี้ยวก็ไม่เห็นด้วย

ดังนั้นหวังเป่าเล่อในตอนนี้จึงค่อนข้างหมดความอดทนแล้ว เขาไม่เก็บซ่อนประกายเย็นยะเยือกในดวงตาอีก แต่จ้องมองนิ้วมือที่เข้ามาใกล้ตนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเย็นชา

นิ้วที่เหมือนกับต้นหอมนี้ไม่ใช่แค่งดงามมาก แต่ยังให้ความรู้สึกน่ากินด้วย อย่างน้อย…หวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็คิดแบบนั้น

มุมปากของเขาค่อยๆ แยกออกจนไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป มันแยกออกจนดูเกินจริงเหมือนกับผี ประกายเย็นยะเยือกในดวงตาก็ยิ่งคมปลาบ จ้องมองนิ้วมือที่กำลังจะแตะใบหน้าตนอย่างรวดเร็ว

ทว่ายามที่นิ้วมือนั่นอยู่ห่างจากปากที่แสยะออกช้าๆ ของหวังเป่าเล่อไม่ถึงหนึ่งชุ่น…นิ้วมือนั่นก็หยุดชะงักคล้ายกับกำลังชั่งน้ำหนัก จากนั้นก็ค่อยๆ หดกลับไปในผ้าม่านจนอยู่ในลักษณะเดิม

เกี้ยวสั่นไหวอีกครั้งเมื่อถูกร่างทั้งสี่แบกขึ้นเดินต่อ ก่อนจะค่อยๆ หายไปจากสายตาหวังเป่าเล่อ

เขาเหม่อมองอีกฝ่ายจากไป แต่ปากที่ฉีกออกจากกันของหวังเป่าเล่อกลับไม่ได้หายไปในทันที เพราะว่า…เขากำมือข้างขวาปิดกั้นอักขระเสียงในมือจนหมด ส่งผลให้แสงของมันหายไปด้วย เสียงตุ้บๆ ที่ดังออกมาจากมันก็หยุดลง

เมื่อเกี้ยวจากไปแล้ว สิ่งมีชีวิตประหลาดที่แตกกระเจิงไปเพราะอักขระเสียงและการปรากฏตัวของเกี้ยวต่างก็ส่งเสียงหายใจหืดหาดคล้ายกับว่าพวกมันกำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อจากทุกทิศทาง

ราตรีมืดมิด ณ เวลานี้กลับมืดมิดยิ่งกว่าเดิมสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านั้นราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเข้าปกคลุมร่างของหวังเป่าเล่อจนมิด ราวกับต้องการกำจัดเขา

แต่ในพริบตา…ความมืดที่ปกคลุมหวังเป่าเล่อก็ผันผวน คล้ายมีบางอย่างกำลังดิ้นรนอยู่ข้างในและพยายามจะพุ่งออกไป และการดิ้นรนนั่นก็ไม่ได้มาจากจุดเดียว แต่มาจากทุกทิศทาง…

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ทันการณ์แล้ว การดิ้นรนต่อสู้เริ่มถดถอย อ่อนแรงลงจนกระทั่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และอีกครึ่งก้านธูปต่อมา หวังเป่าเล่อที่ถูกความมืดกลืนกินไปนั้นก็ราวกับมีน้ำชโลมร่างกายคอยชะล้างหมึกดำออกไปจนหมดและค่อยๆ เผยโฉมอีกครั้ง ไม่กี่อึดใจร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นใหม่

มุมปากกลับมาเป็นปกติแล้ว มีเพียงอาการแลบลิ้นเลียปากราวกับกำลังลิ้มรสที่ยังกรุ่นอยู่ในปากเท่านั้น

“ไม่เลวนี่” หวังเป่าเล่อเช็ดมุมปาก ก่อนจะเดินต่อไปยังตำแหน่งที่อักขระเสียงนำทาง ฝีเท้าของเขาไม่ได้เร็วมาก แต่ต่างจากก่อนหน้านี้…ในความเงียบสงัดรอบตัว ใบหูของเขาไม่ได้ยินเสียงรบกวนแม้แต่น้อย

ราวกับว่าเสียงฝีเท้าของเขากลายเป็นเสียงเดียวในราตรีนี้

ส่วนสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นแม้แต่ตัวเดียว เพราะในบริเวณนี้ไม่มีแล้ว

เป็นเช่นนี้จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งหูของหวังเป่าเล่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหายใจอีกครั้ง เขาก็เห็นภูเขาไฟสามลูกอยู่เบื้องหน้า

ภูเขาไฟสามลูกนี้ใหญ่โตจนน่าทึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนอากาศไกลลิบตา ควันดำหนาทึบปะทุออกมาจากปล่องเป็นระยะเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ขณะเดียวกันลาวาจำนวนมหาศาลก็ไหลลงจากภูเขามาบรรจบกันกลายเป็นแม่น้ำ

มองจากที่ไกลๆ ดูเหมือนภูเขาไฟทั้งสามจะอยู่ใกล้กันมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันห่างกันพอสมควร และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงเสียงเพรียกร้องก็คือภูเขาไฟลูกที่สองแห่งนั้น

ในความเลือนราง สายตาของเขายังมองเห็นว่าบนภูเขาไฟลูกที่สองมีตึกมากมาย แต่ทุกตึกล้วนเป็นสีดำและดูแปลกตา

“สำนักเหอเสียน…” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองภูเขาไฟลูกที่สอง สี่คำนี้ก็ผุดขึ้นในหัว

แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน แต่ด้วยสัมผัสเชื่อมต่อของอักขระเสียงจึงรู้ได้อย่างชัดเจนว่าภูเขาไฟทั้งสามนี้ก็คือสามสำนักใหญ่แห่งเมืองปรารถนาเสียงนั่นเอง

“ดูจากระยะทางแล้วข้าควรจะออกจากเขตเมืองปรารถนาเสียงมาไกลแล้ว แต่จริงๆ แล้ว…ข้ายังอยู่ในเมือง” หวังเป่าเล่อละสายตาไปกวาดมองถนนและอาคารโดยรอบ

ตรงนี้เขาเคยผ่านในเวลากลางวัน มันเกือบจะเป็นพื้นที่ตอนกลางของเมืองปรารถนาเสียง

คิดอยู่ครู่หนึ่งหวังเป่าเล่อก็กะพริบร่างพุ่งไปยังภูเขาไฟลูกที่สอง ขณะเดียวกันหูก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำและเสียงกรีดร้องจากรอบๆ ตัวราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงกำลังเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว และไม่ยินยอมให้เขาเหยียบเข้าไปในอาณาเขตภูเขาไฟ

ที่นี่ไม่เหมาะจะใช้กฎเกณฑ์ปรารถนารส หวังเป่าเล่อจึงโบกมือนำอักขระเสียงที่หายไปกว่าครึ่งออกมา อาศัยแสงและเสียงอันน้อยนิดของมันระเบิดความเร็วมุ่งหน้าไปใกล้ภูเขาไฟลูกที่สองมากขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อเขาเข้าใกล้ แสงของภูเขาไฟก็สะท้อนบนร่างกายของหวังเป่าเล่อทำให้เกิดเงาปรากฏขึ้นข้างหลังเขา เงานี้…บิดเบี้ยว ราวกับมีความหวาดกลัวอย่างมาก โชคดีที่มีผนึกกับดักจากร่างต้นแบบอยู่ในร่างกายช่วยเสริมกำลัง ทำให้ท่าทางบิดเบี้ยวกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าแสงไฟนี้เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในโลกแห่งกฎปรารถนาเสียงในไม่ช้าหวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงหลบหนี

หวังเป่าเล่อใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็ก้าวเข้าไปสู่อาณาเขตของภูเขาไฟลูกที่สอง เมื่อก้าวเข้าไปเสียงเซ็งแซ่ในหูของเขาก็หายวับไปทันที

หวังเป่าเล่อยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปแปลกประหลาด เพราะที่นี่เขาไม่รู้สึกถึงเสียงในราตรีเหมือนข้างนอกแม้แต่น้อย และและไม่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย

ราวกับที่แห่งนี้เป็นดินแดนบริสุทธิ์ในคืนมืดมิด

แต่ยังไม่ใช่เหตุผลหลักที่สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป เพราะสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจจริงๆ แล้วคือ…เขามาถึงที่นี่สักพักหนึ่งแล้ว แต่กลับไม่พบวี่แววของคนหรือศิษย์ของสำนักเหอเสียนเลย

อย่างไรก็ตาม เขาตรวจพบถ้ำจำนวนมากทั้งภายในและภายนอกภูเขาไฟตรงหน้า และประมาณสามส่วนในนั้นมีลมปราณของผู้ฝึกตน

“ไม่มีใครสนใจหรือ” หวังเป่าเล่อสงสัย

“หรือว่าแค่เข้ามาที่นี่ได้ก็นับว่าเข้าร่วมสำนักเหอเสียนแล้ว อยู่ฝึกฝนที่นี่ได้ตามต้องการ?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เมื่อผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครสนใจ เขาจึงก้าวเพียงก้าวเดียวพุ่งตรงไปยังภูเขาไฟ

ในไม่ช้าก็มาหยุดอยู่ที่เชิงเขา หวังเป่าเล่อเห็นถ้ำที่ไม่มีใครจึงครุ่นคิดอยู่นอกถ้ำครู่หนึ่งแล้วก้าวเข้าไปในถ้ำทันที พริบตาที่เหยียบย่างเข้าไป หูของเขาก็ได้ยินเสียงสงบนิ่งดังขึ้น

“ยินดีด้วย เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักเหอเสียนแล้ว”