บทที่ 1842 ร่วมงานกัน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

หยวนกงที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองชางไห่ที่ค่อนข้างเหม่องง เขาแอบรู้สึกขำ นับว่ายอมเหมียวอี้แล้ว มีเจตนาไม่ซื่อแท้ๆ แต่กลับพูดให้ดูเหมือนหวังดีไปได้ ทำเหมือนกำลังช่วยชีวิตอ๋องอสรพิษดำอย่างนั้นแหละ แต่เรื่องจริงก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้ นำความจริงมาอ้างแล้ว อุบายนี้ช่างร้ายกาจ!

แต่ยังไม่ทันแอบหัวเราะเสร็จ หยวนกงเองก็อึ้งไป เมื่อครู่นี้ตัวเองยังรู้สึกเครียดเพราะอยู่ในอันตรายอยู่เลย  ยังแอบถือระฆังดาราอยู่ในมือ ทำไมผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ตัวเองก็มีอารมณ์มาแอบหัวเราะแล้วล่ะ?

ตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ก็วิ่งเต้นทำงานอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ที่จริงไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเหมียวอี้เท่าไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกมาทำงานอะไรด้วยกัน เรียกได้ว่าไม่ค่อยได้สัมผัสกับเหมียวอี้โดยตรง ที่ได้ยินมาล้วนเป็นคำบอกเล่าจากคนอื่น วันนี้ถึงได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริงแล้ว

หยางเจาชิงกับเหยียนซิวที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้เกิดอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เพราะทั้งสองติดตามเหมียวอี้หลายปีอย่างจงรักภักดีมาโดยตลอด เมื่อเวลานานไปก็ย่อมมีสาเหตุที่ทำให้พวกเขาศรัทธาเชื่อถืออยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจกับการแสดงฝีมือของเหมียวอี้ ถ้าอยู่ภายใต้ความกดดันแบบนี้แล้วเห็นเหมียวอี้สติไม่อยู่กับตัว ทำอะไรไม่ถูก ลนลานหวาดกลัว แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้พวกเขาแปลกใจ

ชางไห่เฉื่อยไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สุดท้ายก็ถามว่า “หัวหน้าภาคหนิวจะเอายังไงกันแน่?”

เหมียวอี้บอกตรงๆ เลยว่า “ในใจเจ้าก็รู้ดีว่าตัวการใหญ่เรื่องนี้คือใคร ในเมื่อวกเราจะร่วมงานกันแล้ว ก็อย่าแสร้งใส่กันเลย! ข้าอยากจะช่วยคน อยากจะคิดบัญชีกับพวกเขา ในเมื่อเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ลามมามีเรื่องกับข้าแล้ว ก็เลิกคิดได้เลยว่าจะถอนตัวกลางคัน บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีๆ แบบนั้นหรอก แล้วอีกอย่าง ข้าไม่ยอมถูกตระกูลอิ๋งกระทำอย่างนี้แน่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้าจะกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้?”

กล้ามเนื้อตรงแก้มของชางไห่แข็งทื่อ การที่ตระกูลอิ๋งทำแบบนี้ ทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำเดือดดาลมากจริงๆ “ฐานะของเผ่าเทพอสรพิษดำเทียบเจ้าไม่ได้ เจ้าเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ หลังจากจบเรื่องตระกูลอิ๋งก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้า แต่กับพวกเราไม่เหมือนกัน ตระกูลอิ๋งมีอิทธิพลมาก พวกเรารับผลที่ตามมาไม่ไหว!”

“ไม่เสียดายที่จะระดมกำลังพลห้าล้านมารับมือกับข้า เนี่ยน่ะเหรอที่บอกว่าตระกูลอิ๋งไม่กล้าแตะต้องข้า?” เหมียวอี้ถาม

ชางไห่เงียบไป ตอนที่เพิ่งได้ยินโหยวโยวบอก เขาเองก็รู้สึกเช่นกันว่าตระกูลอิ๋งบ้าไปแล้วหรือเปล่า รับมือกับหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะระดมทัพใหญ่ขนาดนั้น

“หัวหน้าภาคหนิว ข้าว่าเจ้าน่าจะเข้าใจนะ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่มีทางที่ตระกูลอิ๋งจะปล่อยคนให้!” ชางไห่จ้องเหมียวอี้พลางเตือนอย่างจริงจัง

“พวกเขาไม่ปล่อยคน ข้าก็จะโจมตีเขา ต่อให้ช่วยคนไม่ได้ ข้าก็จะฆ่าคน!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเยือกเย็น

ชางไห่แสยะยิ้ม เหมือนกำลังเหน็บแนมเหมียวอี้ว่าไม่ประเมินกำลังตัวเอง “นั่นคือกำลังพลห้าล้านของทัพตะวันออกนะ อาศัยกำลังเล็กน้อยแค่นี้ของเจ้าน่ะเหรอ?”

เหมียวอี้ไม่แยแสคำพูดเหน็บแนม “แล้วยังไงล่ะ? ข้าก็จะโจมตีเหมือนเดิม!”

“ขอโทษที่ข้าพูดตรงนะ ต่อให้กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำร่วมมือกับกำลังพลของเจ้า ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทัพตะวันออกห้าล้านอยู่ดี!” ชางไห่กล่าว

“เจ้าผิดแล้ว!” เหมียวอี้เถียงกลับอย่างไม่ลังเล กล่าวเสียงดังว่า “ขอเพียงเผ่าเทพอสรพิษดำให้ความร่วมมือกับพวกเราเต็มกำลัง ศึกนี้หนิวต้องชนะแน่นอน ทัพตะวันออกห้าล้านน่ะ ข้ากำจัดได้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา!”

ชางไห่แสยะหัวเราะ “พูดจาฟังดูดีนี่ เจ้าลองบอกมาซิว่าจะอาศัยอะไรไปชนะ?”

“ก็อาศัยที่โอกาส ชัยภูมิและคนล้วนเป็นใจให้ฝั่งข้าไง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

“ช่างน่าสรรเสริญในความกล้า!” ชางไห่ยังคงกล่าวเสียดสี

สงสัยที่พูดไปตั้งนานจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมียวอี้เริ่มเดือดแล้ว จู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ผู้อาวุโสชาง นี่เจ้าคิดจะบีบให้ข้าสังหารอ๋องอสรพิษดำ จะได้ขึ้นตำแหน่งแทนได้สะดวกใช่มั้ย!”

เมื่อเขากล่าวแบบนี้ ทางเผ่าเทพอสรพิษดำก็กลันจ้องมาทางนี้ทันที แต่ละคนเบิกตากว้างจ้องชางไห่ เหมือนกำลังถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่? จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?

“เหลวไหล!” ชางไห่ตะคอกกลับ โมโหจนแทบกระทืบเท้า รีบแก้ตัวว่า “อ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำต้องเป็นสตรีเท่านั้น!”

เมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา ก็พบว่าเหมียวอี้กำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จึงได้สติทันที พบว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว เหงื่อแตกเต็มหลัง ทำไมพูดว่าอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำต้องเป็นสตรีเท่านั้นล่ะ? ทำอย่างกับเขาเตรียมตัวจะเปลี่ยนตัวท่านอ๋องแล้วจริงๆ

“เจ้า…” ชางไห่หันกลับไปมองสายตาของคนในเผ่าที่กำลังจ้องตัวเอง แล้วก็มองเหมียวอี้อีกครั้ง ชี้หน้าเหมียวอี้ด้วยความโกรธแค้นแทบกระอักเลือด รู้สึกเหมือนกางเกงเจ้าเปื้อนสีเหลืองแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ได้อุจจาระ แต่คนก็คิดว่าเจ้าอุจจาระอยู่ดี

หลงซิ่นอดไม่ได้ที่จะหันไปอีกด้านหนึ่ง เม้มปากกลั้นหัวเราะ พบว่าหัวหน้าภาคท่านนี้ช่างร้ายนัก พออีกฝ่ายพูดจาไม่เกรงใจแค่สองสามประโยค เจ้าก็ให้บทเรียนเขาแล้ว สั่งสอนไปสักหน่อย

หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็คิดตามไม่ทันเหมือนกัน ไม่ได้คิดเรื่องที่อ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำต้องเป็นผู้หญิงเลย แค่เถียงไปส่งเดชเท่านั้น ใครจะคิดว่าชางไห่จะให้ความร่วมมือขนาดนี้ หลังจากชางไห่พูดออกมาเขาถึงตระหนักได้ว่ามีปัญหา ถึงได้ทำสีหน้าแปลกๆ

แน่นอน เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย

สุดท้ายชางไห่ก็สะบัดแขนเสื้อ ข่มไฟโกรธเอาไว้ แล้วถามเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”

เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบ พูดให้แตกคอในชั่วพริบตาเดียว “พูดดีๆ ด้วยไปหมดแล้ว ข้าไม่มีเวลามาเปลืองกับพวกเจ้า ตั้งแต่นี้ไป กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำฟังคำสั่งข้า ถ้ากล้าไม่เชื่อฟัง ก็รอไปเก็บศพอ๋องอสรพิษดำได้เลย! ไสหัวไป! เปลี่ยนคนมาคุย!”

ชางไห่อยากจะสู้ตายกับเขาสักตั้งจริงๆ แต่ก็ทำได้เพียงถลึงตาโมโห สุดท้ายก็หันหน้าจากไป พอไปถึงฝั่งนั้นก็เล่าเรื่องที่เพิ่งปรึกษากันให้ฟังรอบหนึ่ง โดยเน้นอธิบายเรื่องที่เหมียวอี้วางกับดักเขา

เมื่อได้ยินว่าเขาโดนวางกับดัก โม่โหยว ผู้อาวุโสหญิงหนึ่งในนั้นก็ทำสีหน้าครุ่นคิด “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้มีชื่อเสียงกระฉ่อนใต้หล้าได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ชางไห่ เขาบอกจริงเหรอว่าสู้กับทัพตะวันออกห้าล้านแล้วจะชนะแน่นอน?”

“เขาพูดอย่างนี้ พูดจาโอ้อวดไม่เบา” ชางไห่ตอบกลับอย่างเคารพ

คนที่สามารถเรียกชื่อชางไห่ตรงๆ ได้ กอปรกับท่าทีเคารพของชางไห่ อีกทั้งนางยังมีที่ยืนท่ามกลางผู้อาวุโสทุกคน สิ่งนี้ก็อธิบายฐานะของโม่โหยวในเผ่าเทพอสรพิษดำได้แล้ว หลังจากโม่โหยวจ้องเหมียวอี้จากที่ไกลๆ พลางไตร่ตรอง จู่ๆ ก็บอกว่า “ข้าจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง”

“ผู้อาวุโสโม่!” ผู้อาวุโสที่เหลือเรียกอย่างกังวลพร้อมกัน

สุดท้ายก็เปลี่ยนการตัดสินใจของโม่โหยวไม่ได้ ผู้อาวุโสหญิงคนหนึ่งที่ชื่อเฟิ่งอู่ไปเป็นเพื่อนชางไห่ ทั้งยังพายอดฝีมือไปด้วยประมาณร้อยคน

หลังจากแนะนำตัวเสร็จแล้ว เหมียวอี้เห็นท่าทีของชางไห่และผู้อาวุโสอีกสองคนที่มีต่อโม่โหยว ก็มองออกแล้วว่าฐานะของโม่โหยวไม่ธรรมดา อีกทั้งชิงเยว่ก็คอยแนะนำอยู่ข้างๆ บอกว่าพอโม่โหยวเป็นผู้อาวุโสตั้งแต่สมัยอ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำคนก่อนแล้ว ตอนนี้เป็นผู้อาวุโสที่วัยวุฒิสูงที่สุดของเผ่าเทพอสรพิษดำ

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะมองนางหลายครั้ง พบว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่สวยมาก แค่ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำก็หน้าตาดีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรือนร่างที่เย้ายวนนั่น เพียงแต่เกล็ดบนร่างกายที่ใช้ทำเป็นเครื่องประดับนั้นทำให้คนไม่กล้ายอมรับง่ายๆ มีแค่อ๋องอสรพิษดำที่ดูเหมือนคนปกติมากที่สุด

โม่โหยวเอ่ยปากพูดตรงๆ เลยว่า “หัวหน้าภาคหนิวจับอ๋องของพวกเราไปเป็นตัวประกัน แม้จะขู่เผ่าเทพอสรพิษดำได้ แต่คาดว่าอ๋องของพวกเราก็ไม่อยากเห็นคนในเผ่าเทพอสรพิษดำเลือดนองเป็นแม่น้ำเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าเทพอสรพิษดำจะเอาชีวิตคนในครอบครัวทั้งหมดไปพ่วงด้วย ต่อให้หัวหน้าภาคหนิวใช้ท่านอ๋องมาขู่ก็ไม่มีประโยชน์” เมื่อเห็นเหมียวอี้มีอะไรจะพูด นางก็ยกมือห้ามอีก แล้วพูดต่อไปว่า “แน่นอน พวกเราไม่มีทางไม่สนใจใยดีท่านอ๋อง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องแน่ใจก่อน ร่วมงานกันก็ได้ ฟังคำบัญชาการของหัวหน้าภาคหนิวก็ไม่มีปัญหา แต่พวกเราจะแน่ใจได้ยังไง ว่าหัวหน้าภาคหนิวจะไม่เอาชีวิตพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำไปเล่น จะแน่ใจได้ยังไงว่าหัวหน้าภาคหนิวไม่ได้จงใจให้พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำไปต้านดาบรับความตาย? ถ้ากำจัดความสงสัยนี้ให้พวกเราไม่ได้ ก็ขออภัยที่จะไม่ฟังคำสั่ง แต่ถ้าสามารถแก้ไขปัญหานี้ เรื่องร่วมงานกัน ข้าก็สามารถตัดสินใจตอบตกลงได้เลย” พูดจบก็จ้องเหมียวอี้เพื่อรอคำตอบ

ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยท่านนี้ก็พูดจาน่าฟังกว่าชางไห่ตั้งเยอะ ชางไห่นั่นเอะอะก็พูดเหน็บแนม ไม่เหมือนคนมาเจรจา เหมียวอี้ไม่ยอมรับ

เหมียวอี้พยักหน้า “ผู้อาวุโสโม่พูดมีเหตุผล หนิวเองก็ไม่ใช่คนพูดจาไร้เหตุผล” ขณะที่พูดก็ชำเลืองชางไห่แวบหนึ่ง สื่อความหมายในคำพูดแล้ว ทำเอาชางไห่โมโหจนถลึงตาเป่าเครา เหมียวอี้ไม่สนใจเขา พูดต่อไปว่า “หนิวเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้คุณธรรมน้ำมิตร ในเมื่อจะร่วมงานกัน ก็ย่อมต้องหาวิธีการที่ทั้งสองฝ่ายล้วนยอมรับได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะบัญชาการกำลังพลทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องวางแผนก็ให้ทั้งสองฝ่ายทำด้วยกัน คำสั่งที่มีต่อเผ่าเทพอสรพิษดำ ก็ให้เผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้าถ่ายทอดลงไปเอง ผู้อาวุโสโม่ยอมรับได้มั้ย?”

โม่โหยวไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วพยักหน้าบอกว่า “งั้นก็เอาตามนี้!” จากนั้นก็ถามต่อเลยว่า “ไม่ทราบว่าหัวหน้าภาคหนิวเตรียมตัวจะเปิดยังไง? ฝั่งพวกเราจะได้เตรียมตัวสะดวก” เห็นได้ชัดว่านางอยากจะทความเข้าใจสถานการณ์ภายใน

“ไม่ทราบว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะดึงกำลังพลออกมาร่วมรบได้เท่าไร?” เหมียวอี้ถาม

โม่โหยว “ที่พอถูไถออกรบได้ ก็มีไม่ถึงสามล้าน แต่ศักยภาพของพวกเขา เกรงว่าแม้แต่กำลังพลแปดแสนของทัพตะวันออกก็ต้านไม่อยู่”

เหมียวอี้ถามทันที “ตามที่ข้ารู้มา จำนวนคนเผ่าเทพอสรพิษดำมีมากกว่าสิบล้าน ที่บอกว่าไม่ถึงสามล้านหมายความว่ายังไง?”

โม่โหยวตอบว่า “คนน่ะมีไม่น้อย แต่คนพวกนั้นวรยุทธ์ต่ำ จะเอาอะไรไปต้านทัพตะวันออกที่ดุร้ายเหมือนเสือ จะให้พวกเขาเอาชีวิตไปทิ้งเชียวเหรอ?”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ผู้อาวุโสโม่เข้าใจผิดแล้ว ถ้าคิดจะใช้ความอ่อนแอเอาชนะความแข็งแกร่ง ก็ต้องได้เปรียบในระดับหนึ่งก่อน ข้าต้องการรู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของกำลังพลทัพตะวันออกที่สระน้ำมังกรดำ ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าเทพอสรพิษดำ พวกเจ้าคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและชัยภูมิ ใช้ประโยชน์คนที่ไม่ได้เข้าร่วมรบให้จับตาดูพวกเขา คงจะไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา” โม่โหยวพยักหน้า ถามอีกว่า “ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย?”

เหมียวอี้เองก็ไม่อยากถ่วงเวลาต่อไปแล้ว “พวกเจ้าถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที ให้คนเผ่าเทพอสรพิษดำที่ไม่เกี่ยวข้องกับศึกนี้หาที่ปลอดภัยซ่อนตัวไว้ จะได้ไม่ถูกเอามาเกี่ยวข้อง”

โม่โหยวอยากจะกลอกตามองบน เพราะเดาจุดประสงค์ของเหมียวอี้ออกแล้ว กลัวว่าทัพตะวันออกจะจับคนเผ่าเทพอสรพิษดำมาเป็นตัวประกันเหมือนที่เหมียวอี้ทำ ถึงตอนนั้นเผ่าเทพอสรพิษดำคงลูบหน้าปะจมูก เช่นนั้นเหมียวอี้ก็จะยุ่งยากแล้ว นี่คือการตัดความห่วงหน้าพะวงหลัง เพียงแต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อเผ่าเทพอสรพิษดำ จึงหันกลับมาสั่งทันที “เฟิ่งอู่ ไปจัดการสองเรื่องตามที่หัวหน้าภาคหนิวบอกเดี๋ยวนี้!”

เฟิ่งอู่เรียกอีกคนจากข้างหลังแล้วไปจัดการทันที

เหมียวอี้บอกอีกว่า “ส่งกำลังพลห้าแสนไปดักซุ่มที่ทางเข้าออกบริเวณสระน้ำมังกรดำ รอฟังคำสั่งข้าให้ปิดทางเข้าออก!”

โม่โหยวเถียงกลับทันที “ถ้าทัพตะวันออกจะไป กำลังพลห้าแสนของเผ่าเทพอสรพิษดำก็ต้านไม่ไหวเลย ไม่ต่างอะไรกับเอาชีวิตไปทิ้ง!”

เหมียวอี้ไม่เถียงอะไรเช่นกัน พูดต่อไปตามขั้นตอนของตัวเอง “ห้าแสนคนนี้ ให้ดึงคนวรยุทธ์ต่ำสุดมาจากกำลังพลสามล้านของฝ่ายเจ้า ให้คนที่พลังอ่อนแอที่สุดไป”

ทุกคนงุนงง โม่โหยวถามอย่างแปลกใจว่า “ส่งคนที่กำลังอ่อนแอไปปิดทางเข้าออก หมายความว่าอะไร?”

เหมียวอี้บอกว่า “ผู้อาวุโสโม่ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าย่อมมีที่ให้ใช้งานอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่สะดวกจะพูดมาก เอาเป็นว่าข้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่เสียหายแม้แต่น้อย ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เป็นผลดีกับพวกเขา ก็ไม่ต้องทำตามคำสั่งข้าก็ได้ ไม่เป็นผลเสียอะไรกับพวกเขาเช่นกัน”

โม่โหยวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกำชับเฟิ่งอู่อีก “จัดการตามนี้!”

จุดที่ดาวหกดวงโอบล้อม บนยอดเขาที่รกร้าง อิ๋งอู๋หม่านกำลังเอามือไขว้หลังเดินกลับมารอฟังข่าวจากจวนอ๋องสวรรค์

หลังจากแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เก็บระฆังดาราแล้ว ก็กุมหมัดคารวะ “ท่านโหวอิ๋ง! สายสืบรายงานว่า กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อถูกกำลังพลหนึ่งล้านของเผ่าเทพอสรพิษดำล้อมไว้แล้ว!”

“อ้อ!” อิ๋งอู๋หม่านหันตัวมา แล้วเลิกคิ้วบอกว่า “หรือว่าเจ้านั่นเปิดฉากสังหารใหญ่ที่ตลาดมืดจนยั่วโมโหเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว!”

แม่ทัพใหญ่พยักหน้า “เป็นแบบนี้จริงๆ ขอรับ สายลับเห็นรางๆ ว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลจับคนเผ่าเทพอสรพิษดำไม่น้อยมาเป็นตัวประกัน ตอนนี้กำลังคุมเชิงกับทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ”

อิ๋งอู๋หม่านถูฝ่ามือพลางหัวเราะลั่นทันที “ก่อกรรมเอง หนีไม่พ้นหรอก สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ!”

………………