หลายวันก่อน ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้เหนือเมืองไป๋ตี้ ผนึกถูกเปิดใช้งานสองฝั่งแม่น้ำแดงเพื่อตัดการสื่อสาร จากนั้นก็มีคณะทูตจากดินแดนต้าซีมาและการจัดพิธีสวรรค์พิจิตอย่างฉับพลัน เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันทำให้เมืองไป๋ตี้ตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดผิดปกติ
ผู้นำเผ่าต่างๆ นิ่งเงียบแต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สนใจจริงๆ แม้ว่าการลอบสืบข่าวจะถูกกดดันจากทั้งราชสำนักเผ่าปีศาจและหลายฝ่ายในสภาผู้อาวุโส พวกเขาก็ยังพบเบาะแสมากมายและเข้าใกล้ความจริงขึ้นทีละก้าว
การถอนตัวจากพิธีสวรรค์พิจิตขององค์ชายรองดินแดนต้าซีได้เปลี่ยนสายตาของพวกเขาไปจับจ้องที่ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานแทน
คนอย่างผู้นำเผ่าซื่อกับเสี่ยวเต๋อย่อมคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มนี้มาจากทางเหนือ
“ความอับอายนับหมื่นปี หนี้เลือดของบรรพชนนับไม่ถ้วน… เหล่านี้จะลืมไปได้จริงหรือ”
เสียงของเสี่ยวเต๋อทั้งเย็นและคมราวกับดาบที่แท้จริง
ผู้นำเผ่าซื่อหันหน้าหน้าไปมองที่แท่นสูงบนเขา แม่น้ำกว้างใหญ่มีหมอกปกคลุม ดังนั้นมันจึงไม่อาจที่จะมองเห็นคนบนแท่นสูงได้
“ครั้งหนึ่งพวกเราก็เคยเกลียดพวกมนุษย์มาก เหมือนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่จบลงใต้มือของเผ่ามาร หากเจ้าถามพวกเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ว่าเกลียดใครมากที่สุด พวกเขาย่อมบอกว่าเป็นพวกมนุษย์ในจิงตู แต่ตอนนี้ใครจะมาจำเรื่องในอดีตอีก”
ทุ่งหญ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ถูกเผ่ามารยึดครองแล้วจากนั้นก็ถูกมนุษย์ชิงไปครอง แต่เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่เหลือไม่เลือกที่จะกลับไปยังทุ่งหญ้านั่น แต่กลับเลือกที่จะข้ามทะเลกว้างใหญ่ไปอาศัยอยู่ในดินแดนต้าซีแทน คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับความโกรธแค้นที่มีต่อเผ่ามนุษย์
สามเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนต้าลู่ มนุษย์ ปีศาจ มาร มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเกินไป มีความเกลียดชังมากมายในประวัติศาสตร์ที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูดไม่กี่คำ
แต่เสี่ยวเต๋ออาศัยอยู่ในยุคนี้ ดังนั้นเขาย่อมมีความลำเอียงไปทางความเกลียดชังต่อเผ่าปีศาจ
“ต่อให้เรา…ร่วมมือกับเมืองเสวี่ยเหล่า ทำไมต้องจัดพิธีสวรรค์พิจิต ในอนาคตเราต้องเรียกคนจากต่างเผ่าว่าฝ่าบาทจริงหรือ”
แค่พูดออกมาก็ทำให้เสี่ยวเต๋อปวดใจและรู้สึกเย็นเขี้ยวขั้นมาจนถึงกับเจ็บปวดอยู่บ้าง
ยากจะคิดได้ว่าเขากับเผ่าต่างๆ ริมฝั่งแม่น้ำแดงจะโมโหแค่ไหนหากเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง
ผู้นำเผ่าซื่อตอบ “มันน่าจะเป็นแค่การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ไม่เกี่ยวกับการครองบัลลังก์”
เสี่ยวเต๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หากองค์หญิงแต่งไปเมืองเสวี่ยเหล่าที่ห่างไกล ใครจะครองบัลลังก์ต่อ”
ผู้นำเผ่าซื่อคิดอยู่นานแล้วก็พูดสิ่งที่คาดเดาเอาไว้ออกไป
เสี่ยวเต๋อหน้าเปลี่ยนไปในทันที แสงสีน้ำตาลฉายขึ้นในส่วนลึกของนัยน์ตาเมื่อปราณอันรุนแรงน่ากลัวพุ่งออกจากร่าง
ลมแม่น้ำรุนแรงปะทะกับลมหายใจพลุ่งพล่านของเขาจนสลายไปในทันที
“เหนียงเหนียงเห็นพวกเราเป็นตัวตลกที่จะล้อเล่นด้วยอย่างนั้นหรือ”
ผู้นำเผ่าซื่อยิ้มอย่างขมขื่น “มีทั้งราชสำนักและสภาผู้อาวุโสลงมือพร้อมกัน ไม่แปลกที่เราจะไม่สามารถสืบรายละเอียดได้ ต่อให้สืบได้แล้วเราจะทำอะไรได้”
เสี่ยวเต๋อพลันถามขึ้น “ชายหนุ่มนั่นเป็นใครกันแน่”
ผู้นำเผ่าซื่อตอบ “เราจะได้รับคำตอบในวันพรุ่งนี้”
……
……
พรุ่งนี้จะเป็นวันใหม่ แต่ละคนก็ใช้ชีวิตต่อไป คำพูดพวกนี้เชื่อถือได้และค่อนข้างน่าเบื่อ นี่เพราะพรุ่งนี้กำลังจะมาถึง แล้วก็จะพบว่าวันหนึ่งได้ผ่านไป ทุกวันใหม่ที่มาถึงก็จะมีอนาคตที่คาดเดาได้ ไม่มีอะไรต่างไปแม้แต่น้อย
แต่สำหรับมู่ฮูหยิน พรุ่งนี้ต่างไปจากพรุ่งนี้ครั้งอื่นที่นางเคยพบเจอมานับครั้งไม่ถ้วน
นางมั่นใจว่ามีเรื่องใหม่และน่าสนใจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
นางยืนอยู่ริมระเบียงบนจุดสูงสุดของเมืองไป๋ตี้ มองดูดวงดาวพร่างพราวและเมฆลอยยามที่คิดในใจ พวกเจ้าสองคนมีชีวิตไปได้อีกวันหนึ่ง
นางกำลังคิดเรื่องเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้
ผนึกสองฝั่งแม่น้ำแดงถูกยกเลิกแล้วและพิธีสวรรค์พิจิตก็ลดจำนวนทหารยามในเมืองไปตี้ช่วงกลางคืนลง อย่างไรก็ตามในความจริงนางไม่ได้ผ่อนการตามล่าสองยอดฝีมือลง องครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงหลายร้อยคนกับขันทีที่มีการบำเพ็ญเพียรสูงส่งได้ค้นเมืองไป๋ตี้อย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา
นางเชื่อมั่นว่าเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ที่บาดเจ็บสาหัสไม่อาจหนีไปจากเมืองไป๋ตี้ได้
แต่ทำไมนางยังไม่อาจหาสองคนนี้พบ
พวกเขาไปซุกหัวอยู่ที่ไหน
“เมื่อเจ้ามาขอความคุ้มครองจากข้า เจ้าก็ต้องพิสูจน์ว่าเจ้ามีค่าให้คุ้มครอง”
ต้นสาลี่ที่โตอยู่ริมระเบียงหน้าตำหนักหิน ทอดเงาชัดเจนใต้แสงดาว
ด้วยเสียงของมู่ฮูหยิน เงานั้นก็พลันบิดเบี้ยวราวกับมีชีวิต จากนั้นก็เริ่มนูนขึ้นก่อตัวเป็นคนที่คุกเข่าอยู่
หากสิ่งที่น่าเกลียดแบบนี้ยังเรียกว่าเป็นคนได้อยู่
คนผู้นี้ปิดบังใบหน้า คลังนูนขึ้น ทั่วร่างมีกลิ่นเหม็นคาว ปีกเนื้อสีเทาหุบพับอยู่บนหลัง
นี่คือตัวประหลาดของพรรคฉางเซิง ฉูซู
หลายวันก่อน เขาหนีจากเมืองเวิ่นสุ่ยและพบกับเซียวจางในโกรกธาร แม้ว่าการซุ่มโจมตีจะสำเร็จ เขาก็ไม่กล้าหยุดแม้แต่น้อย
ว่าตามเหตุผล เขาน่าจะพบกับคณะทูตจากราชสำนักหรือซ่อนตัวในพรรคฉางเซิง แต่เขาก็ไม่ทำทั้งสองทาง
เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่เฉินฉางเซิงกับนิกายหลวงที่อยากจะฆ่าเขา ตระกูลถังก็เข้ามาร่วมด้วย
เพื่อหาทางออกให้เขา คนดีดฉินตาบอดได้ใช้ความผูกพันที่มีไปหมดแล้ว
หากประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังต้องการฆ่าเขา แม้แต่ราชสำนักก็ไม่อาจปกป้องเขา อย่าว่าแต่พรรคฉางเซิงเลย
แม้ว่าดินแดนของต้าโจวจะกว้างใหญ่ ก็ไม่มีที่ให้เขาอาศัยอย่างปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงหนีไปยังดินแดนเผ่าปีศาจที่ห่างไกลโดยเร็วที่สุด
ในสายตาเขา มีแต่นักปราชญ์ในเมืองไป๋ตี้ที่สามารถปกป้องเขาได้และยินดีที่จะใช้เขา
แต่เขาไม่คาดคิดว่าตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่เขาจะมีเวลาหายใจด้วยซ้ำ เขาก็ได้รับภารกิจอันน่ากลัว
“ยังมีคนที่เรียกว่าเซวียนหยวนผ้อ เจ้าอาจอยากฆ่าเขาเช่นกัน”
สีหน้ามู่ฮูหยินนั้นสุขุมเย็นชาราวกับว่านางมอบหน้าที่ซึ่งไม่มีอะไรสำคัญให้กับเขา
สำหรับนาง เผ่าปีศาจและดินแดนต้าซี วันพรุ่งนี้เป็นวันใหม่อย่างแท้จริง นางไม่อาจปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
……
……
เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขาแค่อยากให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เขากำลังเผชิญหน้าก็คือความห่างไกลอย่างมากระหว่างเมืองไป๋ตี้กับจิงตู ไม่มีใครนอกจากยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์จะเดินทางไปมาได้ตามใจ ผนึกเหนือสองฝั่งแม่น้ำแดงถูกปลดไปนานแล้ว อารามเต๋าซีหวงกับทูตต้าโจวได้ส่งข่าวเรื่องพิธีสวรรค์พิจิตออกไปแล้ว จากท่าทีของทูตต้าโจว จิงตูน่าจะส่งคำตอบกลับมาแล้ว แต่ว่าความช่วยเหลือจะมาถึงเมื่อไหร่
เปี๋ยยั่งหงมองเซวียนหยวนผ้อแล้วกล่าว “องค์ชายรองถอนตัวอย่างกะทันหันย่อมหมายความว่านี่ไม่ใช่การร่วมมือระหว่างเผ่าปีศาจกับดินแดนต้าซี ปรมาจารย์เต๋าอาจมองทะลุม่านหมอกนี้แล้ว ส่งผลให้เขามีท่าทีแข็งขันยามที่บอกว่าเจ้าต้องทำลายเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง”
เซวียนหยวนผ้อสับสนอยู่บ้าง “ราชสำนักต้าโจวไม่พอใจกับเรื่องนี้หรือ”
เปี๋ยยั่งหงรู้สึกถูกจี้ใจดำ “ตัวตนของเจ้าหนุ่มสวมหมวกไผ่สานนั่นต้องมีปัญหาอยู่บ้าง”
เซวียนหยวนผ้อหัวช้าอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมเชื่อมโยงปัญหาเข้าด้วยกันได้ และกล่าวอย่างสงสัย “เป็นไปได้อย่างไร”