ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ ไม่มีใครสามารถตอบได้ เจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจกำลังเร่งรุดไปยังต้นไม้สวรรค์ต้นนั้นบนเขาลูกนั้นพร้อมกับนักบวช น่าจะอีกไม่นานคงได้คำตอบที่ชัดเจน
มู่ฮูหยินสังเกตเห็นปรากฏการณ์บนภูเขาใหญ่ลูกนั้นมาระยะหนึ่งแล้วและพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานอยู่ลึกลงไปใต้ดิน
ตอนนี้เองที่นางตระหนักว่านางประเมินชุดดำต่ำไป
แม้ว่าไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มหรืออาจเป็นเผ่ามารทั้งหมดจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากการชำระด้วยเพลิงเถื่อนภายในต้นไม้สวรรค์
ตอนที่นางกำลังคิดว่านางควรจะไปดูดีหรือไม่ ปรากฏการณ์นั้นก็ค่อยๆ สลายไป
หมอกที่แผ่ออกมาจากต้นไม้สวรรค์จางลงอย่างรวดเร็วในขณะที่เสียงฟ้าร้องจากใต้ดินค่อยๆ เบาลงจนไม่อาจได้ยินอีก
แม่น้ำแดงค่อยๆ สงบลง ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านเผ่าปีศาจในเมืองไป๋ตี้หรือพวกที่อยู่บนแท่นสูงต่างก็ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งแปลกประหลาด
แต่สองยอดฝีมือจากเผ่าเหอที่กำลังดูดซับเพลิงเถื่อนจากต้นไม้สวรรค์ใต้ดินได้รับผลกระทบอย่างมาก
เพลิงเถื่อนพลันเปลี่ยนเป็นก้าวร้าวหาใดเปรียบทำให้หนึ่งในยอดฝีมือเผ่าเหอตัวสั่นด้วยความกลัว วิญญาณบรรพบุรุษทำให้เขาหมดสติไปด้วยความโกรธ ต่อให้เขารอดไปได้ก็เส้นลมปราณขาดห้วงแห่งจิตเสียหาย เขาไม่อาจบำเพ็ญเพียรต่อไปได้แต่ใช้ชีวิตเป็นคนพิการเท่านั้น
ยอดฝีมือเผ่าเหออีกคนชื่อซย่าลั่ว เขามีผลลัพธ์ดีกว่ามากสมกับชื่อเสียงในฐานะคนดังที่เคยไปจิงตูเพื่อบำเพ็ญเพียรและบรรลุขั้นรวบรวมดวงดาวเมื่อยี่สิบปีก่อน แม้ว่าเพลิงเถื่อนจะพลันเปลี่ยนแปลง มีเสียงดังกึกก้องแผ่นดินสั่นสะเทือน เขาก็ยังรักษาความสงบในใจได้ นิ่งเงียบรอให้ทุกอย่างจบลง
ณ จุดนี้ผู้เข้าร่วมการชำระจากเพลิงเถื่อนสี่จากห้าคนได้ออกมาจากต้นไม้สวรรค์แล้ว
ผู้นำเผ่าเซียงเหลือบตามองไปที่มู่ฮูหยิน ไม่อาจบอกได้ว่านางคิดอะไรอยู่ เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มนั่นก็ได้รับการคุ้มครองจากนักบวชและเจ้าหน้าที่กลับมายังแท่นสูงริมแม่น้ำ
เสื้อผ้ามีรูมากมายและมีกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาจางๆ หมวกไผ่สานที่ปกปิดใบหน้าเขาอยู่ตลอดก็มีรูใหญ่หลายรู ถูกไฟไหม้จนซี่ไผ่ชี้ออกไปทุกทิศทาง สภาพดูย่ำแย่ราวกับเป็นขอทานข้างถนน
สายตามากมายจับจ้องไปที่ชายหนุ่ม มีทั้งแอบซ่อน สงสัยและกังวล
ทำไมต้นไม้สวรรค์ที่เขาไปถึงได้เกิดปฏิกิริยามากมายขนาดนั้น นี่เป็นคำถามที่ทุกคนอยากได้คำตอบ พวกเขายังอยากรู้ว่าชายหนุ่มลึกลับนี้หน้าตาเป็นอย่างไร เพลิงเถื่อนได้ทำลายหมวกไผ่ ทำให้ทุกคนมีโอกาสที่หาได้ยาก
ไม่อาจเห็นหน้าเขาได้ชัดแต่ก็เห็นได้ว่าเขาผิวขาวมาก ขาวราวกับหยกและก็เหมือนกับหิมะเช่นกัน
เมื่อพวกเขาเห็นผิวขาวเจิดจ้านี้ ชาวเผ่าปีศาจมากมายก็นึกถึงชื่อหนึ่งที่ค่อยๆ ถูกลืมไปในต้าลู่ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมีชื่อเสียงอย่างมากในเผ่าปีศาจ นอกจากผลงานการทหารในด่านหลานกวนกับด่านยงเสวี่ยแล้ว เขายังมีชื่อเสียงเลื่องลือว่ามีผิวขาวราวหิมะ
เผ่าปีศาจเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่สนใจรายละเอียดมากนัก แต่พวกเขายังชื่นชมความขาวว่าสวยงาม
คนที่เคยเห็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมาก่อนรู้สึกว่าความขาวของเขาต่างไปจากความขาวของชายหนุ่มผู้นี้
ผิวของชายหนุ่มเหมือนกับหิมะกำลังละลาย ดูแทบจะโปร่งใสน่าดึงดูดอย่างประหลาด
ผู้นำเผ่าเซียงก็มองไปที่ชายหนุ่มเช่นกัน ความกังวลค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในดวงตาสงบล้ำลึก
เขารู้ว่าชายหนุ่มนี้เป็นใคร ซึ่งทำให้เขาสับสนกับเหตุการณ์ในวันนี้ยิ่งขึ้น
เมื่อเขาเป็นเผ่ามาร ต่อให้เขาเป็นราชนิกุล แต่จะทนแรงกดดันจากวิญญาณบรรพบุรุษและพลังของเพลิงเถื่อนได้อย่างไร เขาจะยอมเปิดโลกวิญญาณของตนให้วิญญาณบรรพบุรุษและเปลี่ยนร่างกายเลือดเนื้อให้เป็นเผ่าจักรพรรดิขาวอย่างนั้นหรือ
ไม่ ผู้นำเผ่าเซียงรู้ว่าคนผู้นี้ไม่มีทางทำเช่นนั้น
ทั้งเสี่ยวเต๋อและเซวียนหยวนผ้อต่างใช้วิธีอื่นในการผ่านการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษ ดังนั้นคนผู้นี้ก็ย่อมมีวิธีของตนเช่นกัน
ผู้นำเผ่าซื่อก็มองไปที่ชายหนุ่มเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะเห็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้น
แม้ว่าจะมีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้อง ชายหนุ่มก็ยังสงบ
บรรยากาศรอบแท่นสูงอึดอัดอย่างมากและเพิ่มความตึงเครียดขึ้นทุกขณะ
ทั้งมู่ฮูหยินและผู้นำเผ่าเซียงในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ไม่พูดอะไร จึงไม่มีใครกล้าแสดงความกังขาออกมา
พิธีสวรรค์พิจิตดำเนินต่อไป แม้ว่ามันจะปนเปื้อนไปด้วยบรรยากาศที่ไม่อาจบอกได้
ขั้นสุดท้ายในพิธีนี้เรียบง่ายมาก เป็นการคัดเลือกของมนุษย์ไม่ใช่สวรรค์ ที่กล่าวถึงเมื่อวานตรงหน้าเมืองพระราชวัง
สี่คนผ่านการชำระจากเพลิงเถื่อนแบ่งออกเป็นสองคู่ประลอง แล้วผู้ชนะก็จะมาประลองกันอีกรอบ
คู่ต่อสู้ของเซวียนหยวนผ้อเป็นยอดฝีมือเผ่าเหอนามซย่าลั่ว
คู่ต่อสู้ของเสี่ยวเต๋อคือชายหนุ่มลึกลับสวมหมวกไผ่สาน
ผลลัพธ์นี้ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงบนแท่นสูง
ความสนใจส่วนใหญ่ย่อมไปที่คู่ที่สอง
เสี่ยวเต๋อหรี่ตามองชายหนุ่มและหมวกไผ่ที่เสียหาย ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง
ผู้นำตระกูลซื่อสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง และเขาก็สั่งคนในเผ่าให้ก้าวออกไปรับเสี่ยวเต๋อมา ไม่ให้มีโอกาสได้พูด
ผู้นำเผ่าเหอนำตัวซย่าลั่วไป
ผู้นำเผ่าหมีนำตัวเซวียนหยวนผ้อไป
ผู้นำเหล่านี้ต่างเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เร็วจนขุนนางและผู้อาวุโสไม่มีเวลาได้ตอบสนอง
ผู้นำเหล่านี้ไม่แม้แต่จะคำนับมู่ฮูหยินหรือผู้นำเผ่าเซียงก่อนจะจากไป
บรรยากาศกดดันยังไม่หายไป ในทางกลับกันมันมีแต่แย่ลง
……
……
ชั้นบนสุดของเรือข้ามฟากกลับสู่เมืองไป๋ตี้ เสี่ยวเต๋อกับผู้นำตระกูลซื่อมีการสนทนาที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน
เพราะผู้นำตระกูลซื่อได้ขอให้เสี่ยวเต๋อยอมถอนตัวจากพิธีสวรรค์พิจิต
แม้แต่คนที่ไร้ประสบการณ์จากเมืองตอนล่างก็รู้ว่าเสี่ยวเต๋อไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้
ผู้นำเผ่าซื่อจ้องไปที่ดวงตาของเขาและกล่าว “เจ้าเป็นห่วงว่าบัลลังก์จะตกอยู่ในมือของดินแดนต้าซี แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงแล้ว แล้วยังฝืนไปทำไมอีก”
เสี่ยวเต๋อตอบ “ข้ารู้ว่าเผ่าเราไม่ต้องการให้ข้าสืบทอดสายเลือดเผ่าจักรพรรดิขาว แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่าข้ามีวิธีอื่น”
“แล้วไง หากฝ่าบาทหรือเหนียงเหนียงต้องการให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดขึ้นมา เจ้าคิดว่าพวกเขาจะไม่มีวิธีของตนหรือไง”
ผู้นำเผ่าซื่อกล่าวเสริมอย่างหนักแน่น “แต่ทั้งหมดนี่ไม่สำคัญ หากเจ้าสามารถสืบทอดบัลลังก์ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยังสนับสนุนเจ้าต่อ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนสายเลือดไปก็ตาม”
เสี่ยวเต๋อกล่าวอย่างเย็นชา “แล้วทำไมท่านถึงไม่อยากให้ข้าทำต่อ”
“เพราะเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้”
ผู้นำเผ่าซื่อเงียบไปแล้วกล่าว “เราไม่คาดคิดว่าฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงได้เลือกผู้สืบทอดเอาไว้ก่อนแล้ว”
เสี่ยวเต๋อนิ่งเงียบไปก่อนที่จะกล่าว “ท่านหมายถึงเจ้าหมอนั่นหรือ”
ผู้นำเผ่าซื่อตอบ “ข้าคิดว่าเจ้าก็เดาบางอย่างได้แล้ว”
เสี่ยวเต๋อตอบ “ไม่ว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร เขาไม่มีผลอะไรกับข้า”
ผู้นำเผ่าซื่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เรื่องนี้สำคัญกับเผ่าปีศาจเกินไป เหนียงเหนียงย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าทำลายมัน ฝ่าบาทก็ไม่ยอมเช่นกัน”
เสี่ยวเต๋อถาม “ใครจะแน่ใจได้ว่าฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด”
ผู้นำเผ่าซื่ออธิบาย “ตาเฒ่าเซียงไปที่ภูเขานั่นเมื่อสองคืนก่อน”
เสี่ยวเต๋อสวนกลับอย่างก้าวร้าว “ต่อให้เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทคิด ก็ยังผิด!”