แสงเปี่ยมไปด้วยปราณแห่งชีวิต แต่มันก็บรรจุไว้ด้วยกำลังที่สามารถทำลายทุกสิ่งในโลก
แสงนี้ไม่ได้มีสีขาว ไม่ใช่สีทอง ทว่ากระดำกระด่างมีความไม่บริสุทธิ์ผสมอยู่
เพลิงเถื่อนแห่งต้นไม้สวรรค์คืออะไร มันไม่ใช่คลื่นความร้อนภายในทางเดินหิน ไม่ใช่เสาเพลิง แสงนี้จึงเป็นเพลิงเถื่อนที่แท้จริง
หลายปีก่อน บรรพบุรุษของเผ่าปีศาจได้รับแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของเพลิงเถื่อนและซ่อนมันไว้ใต้ดิน ลึกลงไปในลาวา หลังจากนั้นมีแค่ผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงของเผ่าปีศาจที่มีศักยภาพน่าทึ่งได้รับโอกาสให้เดินทางมาใต้ต้นไม้สวรรค์และสัมผัสกับปราณของเพลิงเถื่อน ใช้มันเพื่อเสริมปราณแท้ให้แข็งแกร่งขึ้น
แต่ทำไมชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานถึงได้กล่าวคำนั้น
เพลิงเถื่อนแห่งต้นไม้สวรรค์คือแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ
แสงศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน
พระราชวังหลี?
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์?
หรือมาจากดินแดนที่อยู่ห่างไกลที่สุด
……
……
ภาพฉายใหญ่ยักษ์ของวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าปีศาจฉายลงในโลกแห่งจิตของเสี่ยวเต๋อ เซวียนหยวนผ้อและยอดฝีมือเผ่าปีศาจสองคน ถ้ำใต้ดินเดือดพล่านไปด้วยเปลวเพลิงยามที่พวกเขาก้มกราบภาพใหญ่ยักษ์นั่น พวกเขาไม่ได้โคจรปราณแท้เพื่อป้องกันร่างกายหรือคิดจะต้านทานด้วยซ้ำ พวกเขาปล่อยให้เสาเพลิงจากโลกที่ไม่รู้จักตกลงมาบนร่างกาย
ตราบใดที่พวกเขาภักดีและกล้าหาญก็จะได้รับการยอมรับจากวิญญาณบรรพบุรุษ เพลิงเถื่อนเข้าสู่ร่างกายทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมันอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการพัฒนาที่เกิดขึ้นตอนผ่านด่านทางเดินหิน นี่จึงเป็นการชำระด้วยเพลิงเถื่อนที่แท้จริง
ชายหนุ่มไม่ได้คุกเข่า ไม่ได้หลับตา เขาย่อมไม่ได้ภาวนาเช่นกัน
เขายืนอยู่ตรงหน้าทะเลเพลิง มือไพล่หลังมองไปยังร่างใหญ่ยักษ์ของวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าปีศาจอย่างสงบ เมื่อสัมผัสปราณของเพลิงเถื่อน เขาก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
เขาได้เสี่ยงอย่างมากที่จะออกจากเมืองเสวี่ยเหล่าและมาที่นี่ แน่นอนว่าเขาต้องการแสดงความจริงใจในการเป็นพันธมิตรกับเผ่าปีศาจ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุสำคัญ
เขามีสามอย่างที่ต้องทำในเมืองไป๋ตี้ และอย่างแรกก็คือสืบความลับของวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าปีศาจกับเพลิงเถื่อนของต้นไม้สวรรค์
ตอนนี้ วิญญาณบรรพบุรุษปรากฏและเพลิงเถื่อนก็ตกลงบนร่างของเขา ข้อสมมติฐานที่เขากับกุนซือคิดไว้เมื่อนานมาแล้วได้รับการพิสูจน์ในที่สุด
เพลิงเถื่อนแห่งต้นไม้สวรรค์แท้จริงแล้วคือแสงศักดิ์สิทธิ์
สำหรับเขา นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทำให้เขาเติมเต็มช่องว่างในภาพวาดที่เรียกว่า ‘ประวัติศาสตร์’ ได้
มู่ฮูหยินน่าจะเดาเจตนาในการเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตของเขาได้ รู้ว่าเขาต้องการจะเห็นเพลิงเถื่อนและวิญญาณบรรพบุรุษด้วยตาตัวเอง
บางทีจักรพรรดิขาว ที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในเทือกเขาห่างไกลก็รู้เช่นกัน
แต่นักปราชญ์ทั้งสองไม่สนใจมากนัก
อันที่จริงแล้วเผ่าปีศาจเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพลิงเถื่อนที่พวกเขาได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษคืออะไร
เมื่อใดที่เขาคิดเรื่องนี้ ชายหนุ่มก็ไม่อาจข่มความดูถูกเหยียดหยามเอาไว้ได้
เผ่าศักดิ์สิทธิ์เป็นเผ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในต้าลู่ และเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็คือเผ่ามาร ดังนั้นเผ่ามารจึงรู้ความลับมากมายที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่มู่ฮูหยินเดาได้ว่าเขาอยากเห็นเพลิงเถื่อน นางก็ยากเห็นว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างใดด้วยเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ของวิญญาณบรรพบุรุษและเพลิงเถื่อนที่สามารถทำลายสรรพสิ่ง ต่อให้เขาเป็นราชามารแล้วจะทำอะไรได้
เขาไม่ใช่เผ่าปีศาจและย่อมไม่หวังว่าจะได้เป็นเผ่าปีศาจ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าปีศาจ
เขายังต้องใช้กำลังของตนเพื่อต้านทานเพลิงเถื่อนของต้นไม้สวรรค์ ปัญหาก็คือเพลิงเถื่อนนั้นแข็งแกร่งกว่าคลื่นความร้อนบนทางเดินหินมากมายหลายเท่า ของศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชิ้นของเผ่ามารก็เสียหายมากแล้ว ไม่อาจใช้ได้อีก แล้วเขาจะใช้วิธีใดในการต้านทาน
แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากวิญญาณบรรพบุรุษ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ มันสูงกว่าความสูงหลายร้อยจั้งของถ้ำด้วยวิธีที่ไม่อาจเข้าใจได้ ทอดยาวไปยังความมืดมิดว่างเปล่ามองลงมาดูเขาราวกับเป็นแค่มดตัวหนึ่ง
ทั้งในความมืดมิดว่างเปล่าและโลกจริง เพลิงเถื่อนเดือดพล่าน เปี่ยมไปด้วยพลังงานสามารถทำลายได้ทุกอย่าง
ใบหน้าเขาซีดขาวลงเรื่อยๆ เมื่อเขาหลั่งเหงื่อมากขึ้น แต่ก่อนที่เหงื่อจะเปียกเสื้อผ้ามันก็ถูกอบจนแห้งไปแล้ว
ใบหน้างดงามมีความเจ็บปวดฉายออกมาเป็นระยะๆ ทำให้เดาได้ว่าเขาต้องรับการทรมานอยู่ในตอนนี้
แต่ไม่มีความหวาดกลัวให้เห็นบนใบหน้าและนัยน์ตาดำขลับ ไม่มีแม้แค่ความตื่นตระหนกเลยสักนิด
เมื่อร่างวิญญาณบรรพบุรุษขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจะทะลวงผ่านท้องฟ้าพร่างดาว…
ตอนที่เพลิงเถือนในถ้ำเดือดพล่านจนแทบจะทำให้รากของต้นไม้สวรรค์ลุกไหม้…
ยามที่ม่านควันบางเบาที่ตกลงมาจากหมวกไผ่สานเผาไหม้จนแทบจะสลายไปหมด และขอบหมวกเริ่มที่จะมีประกายไฟ…
เขาก็นำรูปสลักหินเล็กๆ ออกมาสองชิ้น
ยากจะบอกได้ว่ามันสลักขึ้นจากหินแบบไหน มันดูคล้ายทองคล้ายหยก แต่ก็ดูเรียบลื่นมันวาวหาใดเปรียบ
รูปปั้นทั้งสองเป็นคนเปลื่อยเปล่าสองคน คนหนึ่งยืนตรงท่าทีไม่แยแสในขณะที่อีกคนเอามือวางบนเข่าราวกับกำลังคิด แม้ว่าจะเล็กมากพวกมันก็ยังมีรายละเอียดชัดจนถึงเส้นผมที่เล็กที่สุด ดูราวกับมีชีวิต
หากเปี๋ยยั่งหงหรืออู๋ฉยงปี้อยู่ที่นี่ พวกเขาคงจำได้ว่ารูปสลักนี้มีต้นแบบมาจากไหน
มันคือเทวทูตจากดินแดนเซิ่งกวง
ชุดดำใช้วิธีบางอย่างเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นรูปสลักหิน
รูปสลักหินทั้งสองยืนอยู่ประตูหลังของลานบ้านเงียบๆ ทางตะวันตกของเมืองไป๋ตี้มาตลอดเวลา
จากนั้นพวกเขาก็ถูกชายหนุ่มนำมายังที่แห่งนี้
เขาคว้ารูปสลักเทวทูตทั้งสองและยื่นมันเข้าไปในเพลิงเถื่อน
เพลิงเถื่อนที่ลุกไหม้ถึงสวรรค์ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง หลังจากนิ่งไปชั่วขณะ มันก็เดือดพล่านยิ่งกว่าเดิม ส่งเสียงโหยหวนอย่างเกรี้ยวกราดไปยังรูปสลักทั้งสอง
เพลิงเถื่อนร้อนลวกบรรจุปราณที่สามารถทำลายทุกอย่าง เมื่อสัมผัสกับรูปสลักทั้งสองก็ถูกกลืนกินไปในทันที
รูปสลักเทวทูตดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลง พวกมันดูสว่างขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังเย็นเหมือนกับหลุมดำสองหลุม
ชายหนุ่มมองไปที่รูปสลักในมือ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น แม้แต่ลมหายใจก็ดูเหมือนจะหยุดลง
เพลิงเถื่อนไหลเข้าสู่รูปสลักเทวทูตทั้งสอง พร้อมกับส่งเสียงโหยหวนที่ดังไปทั่วถ้ำหิน
เมื่อเวลาผ่านไป รูปสลักทั้งสองก็สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
ณ จุดหนึ่งวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าปีศาจก็หายไป
หลังจากเวลาผ่านไป เพลิงเถื่อนในถ้ำก็ถูกรูปสลักเทวทูตทั้งสองดูดกลืนจนหมดและอุณหภูมิก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ พื้นผิวของลาวาก็เริ่มแข็งตัวกลายเป็นหินดำ อย่างไรก็ตามรากต้นไม้สวรรค์ถูกเผาจนอยู่ในสภาพเกินทน มันน่าจะไม่เคยเสียหายแบบนี้มาตลอดช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมา
รูปสลักทั้งสองค่อยๆ หม่นแสงลง กลับคืนสู่รูปร่างดั้งเดิม แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วพวกมันดูเหมือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ลวดลายบนรูปสลักดูชัดเจนขึ้น ใบหน้าของเทวทูตดูชัดเจนขึ้น หากบอกว่ามันกะพริบตาก็มีคนเชื่อ
ดูราวกับว่าพวกมันจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกขณะ
ชายหนุ่มมองไปที่รูปสลักหินทั้งสอง นัยน์ตาดำขลับมีอารมณ์มากมายฉายออกมา
มีทั้งความกังวลและหวาดกลัว เย้ยหยันและโศกเศร้า เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน แต่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความสับสน
……
……
คนแรกที่จบการชำระด้วยเพลิงเถื่อนคือเสี่ยวเต๋อ ตามมาด้วยเซวียนหยวนผ้อ ยอดฝีมือเผ่าปีศาจอีกสองคนยังไม่กลับมาที่แท่นสูง
ทันใดนั้นเมฆดำก็รวมตัวกันเหนือเทือกเขา ฟ้าร้องคำรามและฟ้าแลบแปลบๆ ห่าฝนเทลงมา
หมอกพลันหายไปจากเทือกเขา สัญญาณประหลาดของสายฝนถูกเพลิงเถื่อนทำให้ระเหยไปจนหมด
เสี่ยวเต๋อหันไปที่ภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ตอนที่เขาหันไป ผู้นำเผ่าเซียงกับเหล่าแม่ทัพขุนนางทั้งหลายก็หันไปเช่นกัน
หมอกหนารอบภูเขา ปกคลุมพื้นที่หลายลี้ในทันทีแล้วก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
สามารถเห็นได้เลือนรางว่าต้นไม้ใหญ่บนเขาส่ายไหวและส่งเสียงดังสนั่นออกมา
ทำไมเพลิงเถื่อนถึงได้ลุกไหม้รุนแรงแบบนี้ ทำไมต้นไม้สวรรค์ถึงได้ดูหวาดกลัว เกิดอะไรขึ้น