ตอนที่ 1650 ตระกูลหย่วน

Alchemy Emperor of the Divine Dao

หลิงฮันมองไม่ออกว่าพลังบ่มเพาะของรุ่นเยาว์ทั้งสามคือระดับใด แต่ด้วยการโจมตีของอีกฝ่ายทำให้เขาสามารถคาดเดาพลังต่อสู้ได้

ออร่าของอีกฝ่ายไม่ใช่ระดับดาราหรือระดับสร้างสรรพสิ่ง หากจะให้พูดคือใกล้เคียงระดับระดับวารีนิรันดร์ที่สุด

ดูเหมือนว่ารุ่นเยาว์ทั้งสามนี้จะฝึกฝนศาสตร์วรยุทธด้วยรูปแบบบ่มเพาะที่แต่งต่างออกไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง!

การสร้างทักษะบ่มเพาะนั้นหากเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าก็สามารถทำได้ แต่สำหรับการสร้างรูปแบบบ่มเพาะขึ้นมาใหม่นั้นต้องเริ่มคิดค้นใหม่ตั้งแต่ศูนย์

แน่นอนว่าหลิงฮันไม่คิดว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้จะมีความสามารถขนาดนั้น ในทางกลับเป็นคงเป็นเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาที่คิดค้นรูปแบบการบ่มเพาะขนานใหม่ขึ้นมา โดยรุ่นเยาว์เหล่านี้ก็แค่ฝึกฝนตามกันมาจากรุ่นสู่รู่น

เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไม่รู้ว่าถูกสร้างขึ้นมานานแล้วไหนแล้วถึงได้เกิดการคิดค้นรูปแบบบ่มเพาะพลังรูปแบบใหม่ขึ้นมาได้!

จากที่พวกเขาพูดว่า ‘คนนอก’ ทำให้ทราบได้ว่ารุ่นเยาว์ทั้งสามคนนี้คือคนของที่นี่ ยิ่งกว่านั้นคือจากการที่รุ่นเยาว์เช่นทั้งสามคนบ่มเพาะพลังจนบรรลุความแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับวารีนิรันดร์ได้ ก็แสดงว่ารูปแบบบ่มเพาะพลังคนที่นี่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก ผู้อาวุโสของพวกเขาจะเป็นแข็งแกร่งเทียบเท่าเซียนอย่างแน่นอน

การคิดค้นรูปแบบบ่มเพาะพลังขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมก็จริง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ตัดสินกันด้วยพลังอยู่ดี

จอมยุทธที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับวารีนิรันดร์จะต่อกรกับเซียนได้อย่างไร? เหนือสิ่งอื่นใดหลิงฮันยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเสี่ยวกู่มีความแข็งแกร่งระดับไหน ที่รู้ๆคือเสี่ยวกู่แข็งแกร่งมากจนถึงขนาดที่เขาไม่อยากเป็นศัตรูด้วย

ตูม!

การโจมตีของรุ่นเยาว์ผู้นั้นปะทะเข้ากับร่างของเสี่ยวกู่อย่างจัง ที่โจมตีโดนไม่ใช่ว่ารุ่นเยาว์ผู้นั้นแข็งแกร่งแต่เป็นฝ่ายเสี่ยวกู่เองที่ไม่หลบหรือตอบโต้

วิธีการคิดของเสี่ยวกู่นั่นแตกต่างจากคนทั่วไป

ใบหน้าของมันเผยถึงความรู้สึกใจและกล่าว “ยี่ ยา ย่า?” ความหมายก็คือ ‘เจ้าโจมตีข้าทำไม?’ แถมการโจมตีของรุ่นเยาว์ผู้นั้นก็สร้างความเสียหายใดๆให้เสี่ยวกู่ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

รุ่นเยาว์ผู้นั้นชะงัก เขาไม่คาดคิดว่าพลังของเสี่ยวกู่จะแข็งแกร่งจนถึงขนาดที่การโจมตีของเขาจะไร้ผลอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกและกล่าวด้วยน้ำเสียงอวดดี “อย่าบังคับให้ข้าเรียกผู้อาวุโสมาที่นี่ ไม่เช่นนั้นจุดจบของพวกเขาจะมีเพียงความตาย!”

“ส่งสมุนไพรล้ำค่ามา!”

เพียงแต่ว่ารุ่นเยาว์อีกสองคนได้จดจ้องสายตาให้ความสนใจมายังเหล่าสตรีงามอย่างพวกสตรีนกอมตะ

ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นพกลุ่มกวาดสายตามองด้วยท่าทางตื่นเต้น สตรีทั้งสามคนนี้มีความงดงามที่ยากจะหาใครเปรียบ!

“นอกจากสมุนไพรแล้ว สตรีทั้งสามคนนั้นก็ต้องกลับตระกูลไปกับพวกเราด้วย!” เขากล่าวเสริม

หลิงฮันแสยะยิ้มและคิดในใจ สมองของทั้งสามคนได้รับความเสียหายหรืออย่างไร? จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ตั้วจ้อยสามคนกล้าคิดจะครอบครองสตรีงามที่เป็นถึงเซียน? เขากล่าวออกไป “พาพวกข้าไปยังตระกูลของพวกเจ้า”

“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร?” รุ่นเยาว์ที่ดูเหมือนผู้นำกลุ่มจ้องมองหลิงฮันอย่างเหยียดหยาม

หลิงฮันสะบัดฝ่ามือ คลื่นพลังที่พัดออกไปส่งผลให้รุ่นเยาว์ทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นทันที เหงื่อของพวกเขาไหลท่วมและรู้สึกราวกับหัวใจบีบรัดจนแทบระเบิด

“นำทางไป” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “หากยังพล่ามไร้สาระต่ออีกข้าจะสังหารพวกเจ้าไปทีละคน เพราะอย่างไรแค่หน้าที่นำทาง มีคนเดียวก็เพียงพอ”

ทั้งสามคนตัวสั่นสะท้าน พวกเขาสัมผัสถึงจิตสังหารจากน้ำเสียงของหลิงฮันได้อย่างชัดเจน ทั้งสามพยักหน้ารัวและเดินนำทางไป ฉากหน้าอาจจะเห็นเป็นเช่นนั้นแต่ในใจของพวกเขากำลังแสยะยิ้ม ตอนนี้ยอมให้เจ้าได้ใจไปก่อน เมื่อใดที่ถึงตระกูลและผู้อาวุโสปรากฏตัวตอนนั้นจะเป็นเวลาตายของเจ้า!

หลิงฮันจ้องมองไปยังทั้งสามคนอย่างไม่แยแส ด้วยพลังของเขาตอนนี้ต่อให้พบเจอราชาเซียนสูงสุดก็ไม่หวาดกลัว ทั่วทั้งโลกบรรพกาลไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถสังหารเขาได้

ตลอดทางหลิงฮันไต่ถามทั้งสามคนเกี่ยวกับสถานการณ์ของที่นี่ ด้วยแรงกดดันจากเขา ทั้งสามคนจำใจยอมปริปากของมาอย่างช่วยไม่ได้

พวกเขาเรียกตนเองว่าตระกูลหย่วน พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่จากรุ่นสู่รุ่นมานานแล้วอย่างน้อยแสนล้านปี ซึ่งนานจนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่สลักประวัติความเป็นมาเอาไว้เสื่อมโทรมจนไม่อาจตรวจสอบได้

กลุ่มคนเช่นตระกูลหย่วนอย่างพวกเขาพบเจอได้มากมายโดยแต่ละตระกูลจะแยกย้ายกันอาศัยอยู่ตามริมขอบแม่น้ำ ยิ่งอยู่ใกล้ต้นแม่น้ำมากเท่าไหร่ พลังของตระกูลเหล่านั้นก็จะยิ่งทรงพลังขึ้น ตระกูลหย่วนคือตระกูลที่อ่อนแอที่สุด

แน่นอนว่าถึงแม้จะกล่าวว่าอ่อนแอที่สุดก็ใช่ว่าพวกเขาจะอ่อนแอจริงๆ พลังของประมุขตระกูลหย่วนคือราชาเซียนสูงสุดโดยที่เหล่าผู้อาวุโสมีพลังระดับราชาเซียนทั่วไป แต่ละตระกูลจะมีปรมาจารย์ระดับราชาเซียนอย่างน้อยห้าคน สำหรับตระกูลที่อยู่ต้นแม่น้ำนั้นรุ่นเยาว์ทั้งสามก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขามีราชาเซียนอยู่กี่คน ที่พวกเขารู้คือมีตระกูลใกล้เคียงที่เป็นขุมพลังราชาเซียนห้าคนเหมือนกันคือตระกูงเฉิง

ทำไมพวกเขาถึงต้องอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ?

ไม่ใช่เพื่อมีชีวิตรอดแต่เพื่อบ่มเพาะพลัง!

การดื่มน้ำจากแม่น้ำจะทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของพวกเขาทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งแสนปีพวกเขาก็สามารถบรรลุสู่ระดับเซียนได้ซึ่งนับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!

ในโลกภายนอกทุกคนต้องพยายามบ่มเพาะพลังอย่างหนักเพื่อเป็นเซียน และบางทีหลังจากบ่มเพาะพลังไปหลายล้านปีก็มีโอกาสที่จะตกตายกลางทางด้วย  แต่สำหรับคนที่นี่เพียงแค่ดื่มน้ำจากแม่น้ำและบ่มเพาะพลังก็สามารถบรรลุเป็นเซียนได้อย่างง่ายดาย

แถมความพิเศษนี้ก็ทำได้เฉพาะพวกเขาด้วย

มีคนนอกจำนวนลองหนึ่งดื่มน้ำจากแม่น้ำเข้าไปเช่นกันและผลลัพธ์ก็คือพวกเขาตายในทันที

ไม่เกี่ยวว่าพลังบ่มเพาะของคนที่ดื่มน้ำจะสูงหรือต่ำ เพราะว่าคนในเขตแดนลี้แห่งนี้สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำได้อย่างง่ายดายตั้งแต่เกิด สาเหตุที่ทำให้พวกเขาดื่มน้ำได้สมควรเป็นรูปแบบบ่มเพาะพลังที่พิเศษ

และยิ่งขึ้นไปยังต้นแม่น้ำแก่นพลังที่อยู่ในสายน้ำก็จะยิ่งหนาแน่นขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการปะทะกันระหว่างตระกูลแต่ละตระกูลอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนต้องการจะขึ้นไปอาศัยอยู่ในต้นน้ำที่สูงกว่าเดิมเพื่อที่ตระกูลของตนจะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

และแล้วพวกเขาก็มาถึงตระกูลหย่วน

พวกเขาเป็นตระกูลเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่ไม่ได้สร้างเมืองเพื่อพักอาศัย แต่อาศัยอยู่ในบ้านพักที่สร้างด้วยต้นไม้อย่างง่าย

ตระกูลพวกเขามีประชากรอยู่มากมายราวๆหลักล้าน นอกจากคนพื้นที่เช่นพวกเขาที่แต่งตัวประหลาดคล้ายกันแล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งที่มองแวบแรกก็รับรู้ได้ว่าเป็น ‘คนนอก’ ปะปนเดินอยู่ด้วย

ทันทีที่มาถึง รุ่นเยาว์ทั้งสามก็ร้องโอดครวญเสียงดังทันที พริบตาหลังจากนั้นจอมยุทธพื้นเมืองที่อยู่รอบข้างก็ล้อมกลุ่มของพวกเขาเอาไว้พร้อมกับแสดงท่าทางไม่เป็นมิตร

ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากฝูงชน ออร่าของเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก ซึ่งหลิงฮันคาดเดาได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้สมควรมีพลังบ่มเพาะเทียบเท่ากับเซียน แต่เป็นเพียงเซียนระดับต้นเท่านั้น

ภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้เซียนระดับต้นไม่ใช่ตัวตนที่สูงส่งอันใด

เปรียบแล้วที่นี่ก็เหมือนกับดินแดนแห่งเซียนขนาดย่อม หากเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้เมื่อไหร่พวกเขาคงได้พบเห็นจอมยุทธระดับเซียนเดินเพ่นพ่านสวนกันไปมาจำนวนมาก

ความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นเซียนอันสูงส่งของเซียนหวู่เซียงและหลงอวี่ซานพังทลายลงทันใด

“ปล่อยพวกเขา!” ชายวัยกลางคนกล่าวเย็นชา

“ปล่อย.. พวก.. เขา…!” เสี่ยวที่เห็นผู้คนใหม่ๆมากมายก็เริ่มเลียนแบบคำพูดด้วยท่าทางตื่นเต้นอีกครั้ง

ชายวัยกลางคนจ้องมองไปยังเสี่ยวกู่ สีหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความไม่สบอารมณ์แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจและกล่าวต่อ “เข้ามาในอาณาเขตของตระกูลหย่วนแล้วพวกเจ้ายังกล้าทำตัวอวดดีอีก?”

เสี่ยวกู่ “เข้า.. มา.. ตระกูล.. หย่วน…”

บัดซบ!

“รนหาที่ตาย!” ชายวัยกลางคนระเบิดโทสะและปล่อยฝ่ามือเข้าใส่เสี่ยวกู่