ตอนที่ 1651 รูปแบบพลังบ่มเพาะที่แตกต่าง

Alchemy Emperor of the Divine Dao

เสี่ยวกู่ไม่หนีหรือหลบ ฝ่ามือที่ตกกระทบร่างของมันก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น ใบหน้าของมันเผยถึงความประหลาดใจและกล่าว “ยี่ ยา ย่า?” มันอยากจะสื่อว่าทำไมผู้คนที่นี่ชอบทักทายด้วยวิธีการแบบนี้จัง?

ชายวัยกลางคนตกตะลึง ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด แต่ก็รับไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถรับฝ่ามือของเขาได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น

เขาขยับล่าถอยหลายก้าวเพื่อเว้นระยะห่างกับเสี่ยวกู่และโคจรทักษะ ทันใดนั้นเองลวดลายสีดำก็ปรากฏตามร่างกายของเขา จากที่นับดูลวดลายนั้นมีทั้งหกเก้าเส้น แปดเส้นเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกในขณะที่เส้นที่เก้าค่อนข้างเลือนราง

ลวดลายเหล่านี้คือสิ่งที่ใช้แสดงระดับพลังบ่มเพาะของพวกเขา ลวดลายเก้าเส้นคือระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเทียบเท่าได้กับระดับสร้างสรรพสิ่ง ส่วนความเข้มของสีลวดลายมีไว้สำหรับระบุขั้นพลังย่อย

หลิงฮันเรียนรู้เรื่องนี้จากรุ่นเยาว์ทั้งสามซึ่งไม่ใช่ความลับใดๆ แต่หากเค้นถามถึงวิธีบ่มเพาะของพวกเขาล่ะก็ พวกเขายอมสู้ตัวตายดีกว่าที่จะต้องยอมปริปากพูด

เสี่ยวกู่ไม่แยแส มันหันหน้าไปมองชายวัยกลางคนก่อนจะเผยสีหน้าไม่พึงพอใจ “ยี่ ยา ย่า!”

มันปลดปล่อยจิตสังหารออกมา

หลิงฮันประหลาดใจ ในมุมมองของเขา เสี่ยวกู่มีสติปัญญาเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพราะงั้นการที่อีกฝ่ายปลดปล่อยจิตสังหารออกมาทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เสี่ยวกู่นั้นอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นคนของโลกนี้ เหตุใดมันถึงได้แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อชายวัยกลางคนขนาดนั้น?

“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ภายในดวงตาของมันปลดปล่อยคลื่นแสงมรกตพุ่งเข้าใส่ชายชรา พริบตาเดียวร่างของชายชราก็แหลกกระจายเป็นเศษเนื้อ

แค่เซียนระดับต้นจะนับเป็นอันใดได้ต่อหน้าเสี่ยวกู่?

ผู้คนรอบข้างชะงักก่อนจะกระวนกระวายวิ่งหนีไป

“ยี่ ยา ย่า?” เสียงกู่เกาหัวด้วยท่าทางสับสน เหตุใดเมื่อครู่มันถึงได้เกรี้ยวกราดขึ้นมากัน?

“เจ้าสร้างปัญหาแล้ว!” มีจอมยุทธจำนวนหนึ่งเป็นคนนอกเช่นกัน พวกเขาแต่ละคนเผยท่าทีไม่พึงพอใจต่อพวกหลิงฮันทั้งหก

“พลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นเป็นอย่างมาก พวกเจ้าคงไม่รู้ว่ากว่าพวกเราจะทำข้อตกลงให้พวกเขายอมให้เราบ่มเพาะพลังที่นี่ได้นั้นพวกเราลำบากขนาดไหน การที่เจ้าสังหารคนที่นี่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะติดร่างแหไปด้วยหรอกรึ?”

หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “พวกเจ้ามีวิธีการจัดการในแบบของพวกเจ้า พวกข้าก็มีในแบบของพวกข้า เห็นแก่ว่าพวกเจ้าเป็นจอมยุทธจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันข้าจะไม่ถือสาในคำพูดเมื่อครู่ แต่หากยังพล่ามเรื่องไร้สาระอยู่อีกก็เตรียมใจรับผลที่ตามมาให้ดี”

จอมยุทธเหล่านั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรพวกหลิงฮันก็เป็นถึงตัวตนระดับเซียนซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่พวกเขาจะสามารถยั่วยุได้

พวกเขาทำได้เพียงพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้พวกเจ้าจะอวดเบ่งก็ตามแต่ เดี๋ยวอีกไม่นานพวกเจ้าก็จะกลายเป็นซากศพที่พูดไม่ได้แล้ว! แต่จะว่าไปก็ช่างน่าเสียดายนักที่สตรีงดงามทั้งสามนั่นจะต้องตาย

แววตาของหลิงฮันส่องประกายด้วยจิตสังหารและชี้นิ้วออกไป ‘โพล๊ะ โพล๊ะ โพล๊ะ โพล๊ะ’ พริบตาเดียวจอมยุทธจำนวนหนึ่งก็หัวระเบิดตาย

ร่างของทุกคนสั่นสะท้านด้วยความกลัวทันที พวกเขาเกือบลืมไปแล้วว่าเซียนนั้นคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาบังอาจไปดูหมิ่นเซียนได้อย่างไร?

‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ทันใดนั้นเองเงาของคนจำนวนหนึ่งก็ลอยออกมาจากส่วนลึกของตระกูลหย่วน ออร่าของพวกเขาแต่ละคนทรงพลังราวกับจะทำให้ท้องฟ้าปริแตก

คนเหล่านี้เป็นตัวตนระดับราชาเซียนไม่ผิดแน่ แต่ด้วยรูปแบบพลังบ่มเพาะที่แตกต่างกัน หลิงฮันจึงไม่สามารถรับรู้ขั้นพลังที่แน่ชัดของพวกเขาได้

“สังหารพวกมันให้หมด!” ชายชราผู้หนึ่งกล่าว มงกุฎขนนกบนหัวของเขามีความยาวถึงสามฟุต

มงกฎนั้นเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงสถานะของแต่ละคน ยิ่งขนนกบนมงกุฎยาวเท่าไหร่ผู้ที่สวมใส่ก็จะมีสถานะสูงขึ้นตาม

“น้อมรับคำสั่งผู้อาวุโสสี่!” จอมยุทธสี่คนที่ยืนอยู่ข้างชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ พวกเขาทะยานร่างแยกกันล้อมพวกหลิงฮันหกคนเอาไว้

Anchor

หลงอวี่ซานรีบนำหลงเซียงเยว่เข้าไปในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ หากมีการปะทะระหว่างตัวตนระดับเซียนเกิดขึ้น เพียงแค่ลูกหลงเล็กๆน้อยๆก็สามารถสังหารหลงเซียงเยว่ได้

‘พรึบ’ ทั้งสี่คนโคจรทักษะ ลวดลายสีดำปรากฏขึ้นบนร่างกายของพวกเขา ทุกคนที่ลวดลายอยู่เก้าเส้นซึ่งเส้นที่เก้ามีสีที่เข้มกว่าชายวันกลางคนก่อนหน้านี้

หรือก็คือเปรียบแล้วทั้งสี่คนสมควรเป็นเซียนระดับสูง

เสี่ยวกู่ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอีกครั้ง ใบหน้าของมันแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดและคำราม “ยี่ ยา ย่า!” ดวงตาของเขาส่องประกาย ‘พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ’ คลื่นแสงมรกตพุ่งทะยานกวาดผ่านร่างของเซียนระดับสูงทั้งสี่

เพียงแต่ว่าคราวนี้จอมยุทธทั้งสี่คนไม่ตาย ร่างของพวกเขาเพียงแค่ถูกคลื่นแสงมรกตผ่าออกเป็นสองท่อนและคงยากที่จะต่อคืนเข้าด้วยกัน

ผู้อาวุโสสี่เผยสีหน้าหวาดผวา พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายทรงพลังจนเขาเริ่มรู้สึกกลัว แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งจู่ๆเขาก็อุทานออกมา “คลื่นแสงมรกต! คลื่นแสงมรกต! จะ… เจ้าคือผู้นำพาภัยพิบัติตามตำนาน!” เขาชี้นิ้วมายังเสี่ยวกู่ด้วยท่าทางหวาดกลัว

“คลื่น.. แสง.. มรกต.. จะ.. เจ้า…” เสี่ยวกู่เริ่มพูดเลียนแบบอีกครั้ง

ผู้อาวุโสสี่อุทานอย่างหวาดกลัวอยู่ได้สักพักร่างอีกสี่ร่างก็ปรากฏตัวออกมา สามคนสวมมงกุฎที่มีความยาวเทียบเท่าเขาในขณะที่อีกคนสวมมงกุฎที่มีความยาวถึงสี่ฟุต!

คนผู้นั้นคือประมุขตระกูลหย่วน

“เฒ่าสี่ แค่คนนอกที่อ่อนแอราวกับสุนัขเจ้าก็ไม่สามารถจัดการได้?” ผู้อาวุโสสามหัวเราะเยาะเย้ย เขามักจะมีความขัดแย้งกับผู้อาวุโสสี่มาโดยตลอด เพราะงั้นหากมีโอกาสเขาย่อมไม่พลาดที่จะทับถมอีกฝ่าย

แต่ทว่าใบหน้าของผู้อาวุโสสี่กลับแสดงออกถึงความตึงเครียด เขาชี้นิ้วไปยังเสี่ยวกู่อีกครั้งและกล่าว “คนผู้นั้นสามารถปลดปล่อยคลื่นแสงมรกตได้! มันคือแสงมรกตแห่งการทำลายล้างตามที่ตำนานเล่าขาน!”

ว่าไงนะ!

ทั้งสี่คนตกตะลึง บรรพบุรุษของพวกเขามีเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมาคือวันหนึ่ง ตัวตนที่ใช้คลื่นแสงมรกตจะปรากฏตัวและบดขยี้สรรพสิ่งจนสิ้นซาก

เสี่ยวกู่ยังคงพยายามพูดเลียนแบบอย่างจริงจัง “เฒ่า.. สี่….. คน.. ผู้.. นั้น…..”

“ฆ่า!” ทั้งห้าบนเผยสีหน้าจริงจังพร้อมกับชูมือขึ้นบนท้องฟ้า ‘ครืนนน’ พลังจากคนของตระกูลหย่วนจำนวนนับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามาสู่ร่างกายของพวกเขาทั้งห้าด้วยวิธีลึกลับ

ดูๆแล้วไปวิธีการเช่นนี้ก็คล้ายคลึงกับอำนาจแห่งจักรภพ

ลวดลายสีดำบ่นร่างของทั้งห้าคนปรากฏออกมา ลวดลายทั้งเก้าเส้นล้วนแต่มีสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก

“ฆ่า!” เสี่ยวกู่เลียนแบบคำพูด ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่าแต่ทันทีที่เห็นลวดลายสีดำบนร่างกายของคนเหล่านี้ จิตสังหารอันรุนแรงก็ระเบิดออกมาจากร่างของเสี่ยวกู่