มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1057

“จันทราภูธารา!”

ซุ๋นซินเหลียนกางม้วนผังค่ายออก ค่ายกลขนาดมหึมาอลังการค่ายหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นมาอย่างมาก ราวกับมหาโลกาแห่งหนึ่ง ดวงจันทร์ดวงตะวันลอยอยู่เคว้งกลางอากาศ ภูเขาและแม่น้ำอยู่ทุกหนทุกแห่ง

เป็นผังค่ายเหมือนกัน แต่ผังดาราที่หลัวซิวแย่งชิงมาจากชายชราจงเยว่นั้นแตกต่างกันไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า อย่างมากถือว่าเป็นค่ายเทพระดับหนึ่ง แต่ผังค่ายม้วนนี้ หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าที่ถูกปล่อยออกมานั้นคือค่ายเทพระดับสาม

ค่ายจันทราภูธารา กับค่ายอสูรฟ้าดูดจิต คือค่ายเทพระดับสามเหมือนกัน!

“โฮก!”

อสูรฟ้าแต่ละตนพุ่งมาฆ่า กางกรงเล็บที่แหลมคมดุร้าย หมายจะทำลายโลกที่จันทราภูธารากลั่นแปรออกมา

เห็นเพียงซุ๋นซินเหลียนมือจับวิชาค่ายกล สุริยาจันทราแผ่กระจายแสงเทวส่องสว่างอย่างไร้ที่สิ้นสุด สำแดงกฎพลังเทพทั้งสองชนิดอย่างไท่หยางกับไท่หยิน

ไม่เพียงเท่านั้น ที่กลางผังค่ายนี้ต่างก็มีภูเขาขนาดใหญ่ผุดสูงขึ้นมาจากพื้นดิน พุ่งตรงไปทางเหล่าอสูรฟ้าและกดทับเอาไว้

แม้น้ำไหลหลาก คลื่นลูกใหญ่และรวดเร็ว ทุกหนแห่งที่ไหลพาดผ่านนั้น อนัตตาก็ทลายลงอย่างต่อเนื่อง พลังนั้นช่างมหัศจรรย์ใจ

“ปัง! ปัง! ปัง! ……”

พลังอำนาจของค่ายเทพระดับสามั้งสองค่ายชนเข้าด้วยกัน ผลที่ตามมานั้น ทำให้อนัตตาหลายหมื่นลี้ทางอาณาจักรเหนือ ต่างก็พังทลายและดับลงกลายเป็นเพียงปริภูมิว่างเปล่าสีดำเท่านั้น

ในเวลานี้เอง เทพมารอสูรแต่ละตนก็พลันปรากฏตัวขึ้น จับมือกับเทพปีศาจจำนวนหนึ่ง พุ่งเข้าไปฆ่าทางช่าจื่อเยียนและคนอื่น ๆ

แต่เดิมเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีเทพมารอยู่ราวสิบกว่าคน นอกจากลูกน้องของช่าจื่อเยียนไม่กี่คน สองพี่น้องซุ๋นหวู่หยาและซุ๋นซินเหลียนการลงมายังโลกาในครั้งนี้ ก็ได้พาเทพมารมาด้วยอีกหลายคน

เทพมารของเผ่าปีศาจและเผ่าพันธุ์มารมีจำนวนน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ในเวลานี้ทั้งสองเผ่าพันธุ์ร่วมมือกัน จำนวนของเทพมารก็พลันมากกว่าทางเผ่าพันธุ์มนุษย์ครั้งนี้ มีถึงราว ๆ ยี่สิบตน

“ระฆังปีศาจมรณา!”

ช่าจื่อเยียนตะโกรเสียงทุ้ม ร่างสวมเกราะเทพ มือข้างหนึ่งถือกระบี่ อีกข้างหนึ่งหยิบเอาระฆังปีศาจออกมาหนึ่งลูก

เห็นว่านางก้าวขึ้นไปกลางอากาศ ระฆังปีศาจลอยขึ้น ระฆังที่เต็มไปด้วยพลังเทพความตายดั้งเดิมปล่อยออกมาเป็นระรอกคลื่น ระฆังปีศาจขยายใหญ่ขึ้น และครอบผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารอสูรขั้นสูงตนหนึ่งให้อยู่ภายใต้ระฆัง

“เวิง!”

เสียงของระฆังถูกปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารอสูรขั้นสูงตนนั้ก็ถูกกระเทือนจนกระอักเลือดออกมาทางปากและจมูก ร่างนั้นถอยหลังไปในทันที

ร่างกายของเขาสั่นไหว ทันในนั้นก็กลายร่าง กลายเป็นอสูรกายตัวสีดำขนาดมหึมา อ้าปากกว้าง ดูดกลืนหมื่นจักรวาล

ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารอสูรขั้นสูงตนนี้ ก็คือเทาเที่ยตัวหนึ่ง!

ซุ๋นหวู่หยากำลังจะลงมือ แต่ถูกช่าจื่อเยียนห้ามเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องไปสนใจ พวกเราไปต่อ”

นางใช้ระฆังปีศาจยังยั้งเทพมารจากเผ่าปีศาจมารทั้งสองเผ่าพันธุ์ พาเทพมารใต้บัญชาทุกท่านลงมายืนบนหลังของงูมรณาจิ่วหยินอีกครั้ง

มหาสงครามเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ก็ทำให้ต้องสูญเสียเทพมารไปสามคน หนึ่งในนั้นคือคนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ส่วนอีกสองคนต่างเป็นของเทพปีศาจ

“ซินเหลียน ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง มีเรื่องสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ” ช่าจื่อเยียนพูดกับซุ๋นซินเหลียน

ซุ๋นซินเหลียนยิ้มพร้อมพยักหน้า จากนั้นวิชาค่ายกลในมือก็พลันเปลี่ยน ความเร็วของผนึกเร็วกว่าเมื่อครู่หลายเท่า

“ปัง! ”

พลังอำนาจของค่ายจันทราภูธาราถูกปลดปล่อยออกมาทุกด้าน ไท่หยินและไท่หยางพลังเทพสองระดับรวมเป็นหนึ่ง เสียงดังปังเกิดขึ้น ทะลุค่ายอสูรฟ้าดูดจิต เปิดเป็นช่องทางเส้นหนึ่ง

งูมรณาจิ่วหยินเคลื่อนไหว มุดตัวเข้าไปทางเส้นทางนี้ทันที

“ป้าบ!”

หลุดพ้นออกมาจาดค่ายใหญ่อสูรฟ้าดูดจิต งูมรณาจิ่วหยินก็ราวกับปลากระดี่ได้น้ำ หางงูกวาดไปมา ฉีกทำลายอนัตตา ใช้ความเร็วที่รวดเร็วที่สุดพุ่งตรงไปยังทางเข้าแดนปริศนาเทพสงครามเอกภพ

ในวันนี้ ที่ปากทางเข้าแดนปริศนาไม่ได้มีสิ่งใดที่เป็นความลับอีกต่อไป งูมรณาจิ่วหยินไม่นานก็สามารถตามได้ทัน จากนั้นกลายร่างเป็นมนุษย์ กลุ่มคนนำโดยพวกของช่าจื่อเยียนทั้งสามคน เดินเข้าไปในทางเหนือนภา

“ที่บริเวณใกล้เคียงของทางเหนือนภา มีอสูรดูดจิตโบราณซ่อนตัวอยู่ พวกเจ้าระวังตัวด้วย” ช่าจื่อเยียนพูดเตือนต่อเหล่าเทพมารที่สองพี่น้องตระกูลซุ๋นพามาด้วย

“อสูรดูดจิตโบราณ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของเหล่าเทพมารต่างก็เคร่งขรึมขึ้นมาในทันที เผยให้เห็นความกังวลใจที่อยู่ลึก ๆ