ภายในผืนป่า ฉินอวี้โม่และซิวช่วยกันขัดขวางมนุษย์ต้นไม้ที่สูญเสียสติรับรู้และจู่โจมมันไปพร้อมกัน
ผู้พิทักษ์มนุษย์ต้นไม้ขาดสติรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง ทว่ามีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มันโบกกิ่งก้านเหวี่ยงไปมาเพื่อโจมตีฉินอวี้โม่และซิวอย่างไม่หยุดหย่อน
ในตอนแรก ทั้งสองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทุลักทุเลเล็กน้อย ทว่าถึงแม้มนุษย์ต้นไม้ตรงหน้านี้จะแข็งแกร่งมาก มันก็ทำได้เพียงปลดปล่อยการโจมตีอย่างบ้าคลั่งและไร้แบบแผนเท่านั้น
ภายในเวลาเพียงครู่เดียว หนึ่งมนุษย์หนึ่งอสูรก็เริ่มคุ้นชินกับวิธีการโจมตีของมนุษย์ต้นไม้ตรงหน้าและรับมือกับมันได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
จอมยุทธ์กลุ่มเล็ก ๆ ก่อนหน้านี้ที่วิ่งหนีออกไปไกลแล้ว ทว่าเมื่อเห็นฉินอวี้โม่และซิวขัดขวางมนุษย์ต้นไม้ไว้ พวกเขาก็หันหลังกลับมา
“บุรุษผู้นั้นคือใครกัน ? ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก”
จอมยุทธ์คนหนึ่งจับจ้องตรงไปที่ซิวและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ในตอนที่อยู่ในโลกภายนอกก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เห็นบุรุษที่รูปงามและทรงพลังผู้นี้มาก่อน ความแข็งแกร่งของเขาก็นับว่าไม่ธรรมดาเลย ในทางกลับกัน พวกเขาต่างก็รู้จักฉินอวี้โม่ดีและทราบว่านางคือสตรีที่ปะทะคารมกับตระกูลเยี่ยก่อนหน้านี้ นอกจากนี้พวกเขาก็เห็นเซิ่งเซียวและสหายอีกสองคนแล้วเช่นกัน ทว่าบุรุษที่ปรากฏตรงหน้าในตอนนี้คือคนที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ข้าก็ไม่ทราบ ข้ามิอาจสัมผัสถึงขอบเขตพลังของเขาได้เลย หรือว่าความแข็งแกร่งของเขาจะทรงพลังเกินกว่าขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราเสียอีก ?”
จอมยุทธ์ที่บรรลุขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราคนหนึ่งกล่าวออกไป เขาไม่สามารถตรวจจับความแข็งแกร่งของซิวได้แม้แต่น้อยและเชื่อว่าคงจะเป็นเพราะความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายสูงกว่าพวกเขามากนัก คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้มีพลังอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา หากอีกฝ่ายมีพลังที่สูงกว่าขอบเขตเทพยุทธ์สามดารา พวกเขาก็ไม่สามารถตรวจจับพลังของอีกฝ่ายได้
แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางทราบว่าแท้จริงแล้วซิวคืออสูรคู่กายของฉินอวี้โม่ ตอนนี้มันซ่อนกลิ่นอายที่แท้จริงเอาไว้อย่างแนบเนียน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังมากกว่านี้ก็ไม่มีทางคาดเดาได้ว่ามันเป็นอสูรมายา
ฉินอวี้โม่และซิวไม่สนใจสายตาหรือเสียงกระซิบกระซาบของคนเหล่านั้นแม้แต่น้อยขณะรับมือกับมนุษย์ต้นไม้ตรงหน้าต่อไป
มนุษย์ต้นไม้นำพาความกดดันมาสู่พวกนางพอสมควรและกิ่งก้านสาขามากมายนับไม่ถ้วนของมันก็เหวี่ยงไปมาอย่างต่อเนื่องโดยที่โจมตีใส่ทั้งสองจากทุกทิศทาง
“เหอะ !”
ซิวแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ ก่อนที่กลุ่มเพลิงลุกโชนจะปรากฏในมือและปล่อยตรงไปยังมนุษย์ต้นไม้
ทันทีที่เพลิงของซิวกระทบไปถึงเป้าหมาย เสียงหวีดน่าขนลุกก็ดังขึ้นและลำต้นของมนุษย์ต้นไม้ก็ลุกท่วมไปด้วยเพลิงอย่างรวดเร็ว
สำหรับเพลิงแห่งชีวิตของซิว ต่อให้เป็นต้นไม้โลกที่แท้จริงก็อาจต้านทานไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับมนุษย์ต้นไม้ที่เป็นเพียงผู้พิทักษ์เช่นนี้
เดิมทีเพลิงก็ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของไม้ทุกชนิดและตอนนี้ยิ่งเป็นเพลิงที่ทรงพลังของซิวด้วยแล้ว มันจึงทำให้มนุษย์ต้นไม้บาดเจ็บอย่างหนักได้ในทันที
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็ปล่อยการโจมตีออกไปอีกครั้งและทำให้มนุษย์ต้นไม้สลายกลายเป็นเถ้าถ่านก่อนลอยกระจายหายไปในอากาศ
ตุบ !
เสียงวัตถุตกพื้นดังขึ้นมา หลังจากที่ร่างของมนุษย์ต้นไม้สลายหายไปจนไร้ร่องรอย พวกนางก็สังเกตเห็นผลึกแวววาวบางอย่างที่ตกอยู่บนพื้น
“มันคืออะไรกัน ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและเดินเข้าไปหยิบผลึกดังกล่าวขึ้นมาสำรวจ
“ดูนั่นเร็ว มันจะต้องเป็นสมบัติแน่ ๆ !”
เมื่อจอมยุทธ์สามคนที่อยู่ด้านข้างมองเห็นผลึกที่ร่วงลงบนพื้น ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นหนึ่งในนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาใกล้ฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน เจ้าคิดจะแย่งมันไปจากข้ารึ ?”
ฉินอวี้โม่ตวัดสายตามองบุรุษผู้นั้นอย่างเย็นชา เพียงประโยคเดียวจากนาง เขาก็ระงับความโลภทั้งหมดที่พุ่งพรวดขึ้นมาในทันที
เขาเพียงต้องการเข้ามาเชยชมมันใกล้ ๆ เท่านั้น ต่อให้มันจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่า มันก็จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเขามีชีวิตอยู่เพื่อครอบครองมันเท่านั้น ก่อนหน้านี้พวกเขาวิ่งหนีตาตื่นเพื่อเอาตัวรอดจากมนุษย์ต้นไม้ด้วยท่าทางที่น่าสมเพช ทว่าฉินอวี้โม่และซิวสามารถกำจัดมันได้อย่างง่ายดาย เพียงเท่านี้พวกเขาก็ตระหนักแล้วว่าความแข็งแกร่งระหว่างตนและคนทั้งสองนั้นห่างชั้นกันมากเพียงใด
หากกล้าคิดแย่งชิงผลึกวิญญาณไปจากมือของฉินอวี้โม่ เขาก็อาจจะต้องแลกมาด้วยชีวิต
“มะ…ไม่ ไม่เลยขอรับ เราเพียงอยากเห็นเท่านั้นว่ามันคือสิ่งใด”
บุรุษผู้นั้นโบกมือปฏิเสธทันทีด้วยกังวลว่าจะทำให้ฉินอวี้โม่เข้าใจผิดและโจมตีพวกตนเสีย
“หึ…”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาและไม่สนใจคนผู้นั้นอีกต่อไปขณะสายตาเลื่อนกลับมาสำรวจผลึกในมืออีกครั้ง
มันเป็นผลึกสีม่วงที่ไม่มีความผันผวนของพลังใดจนดูเหมือนเป็นเพียงผลึกที่งดงามก้อนหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตกลงมาจากมนุษย์ต้นไม้จะเป็นผลึกธรรมดา ๆ ได้อย่างไรกัน ? ฉินอวี้โม่เชื่อว่ามันจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษซ่อนไว้อย่างแน่นอน
“นายหญิง เก็บมันไว้ก่อนเถอะ มันอาจมีประโยชน์ในภายหลัง”
ซิวเองก็ไม่ทราบถึงคุณสมบัติของผลึกดังกล่าวเช่นกัน มันจึงกล่าวบอกให้ฉินอวี้โม่เก็บสิ่งนั้นไว้ก่อนเพื่อศึกษาอย่างละเอียดในภายหลัง
“ท่านจอมยุทธ์ ข้าขอดูสิ่งนั้นสักครู่จะได้หรือไม่ ?”
หนึ่งในจอมยุทธ์เหล่านั้นมองเห็นว่าฉินอวี้โม่กำลังจะเก็บผลึกวิญญาณไว้ เขาจึงรีบปรี่เข้ามาและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“เชิญ”
ฉินอวี้โม่สบตาบุรุษผู้นั้นและมองเห็นแววตาที่จริงใจซึ่งเห็นได้ชัดว่าบุรุษผู้นี้ต้องการเพียงสำรวจดูผลึกประหลาดจริง ๆ นางจึงยื่นให้กับเขาโดยตรง
บุรุษผู้นั้นรับผลึกวิญญาณมาถือไว้ในมืออย่างทะนุถนอมและจ้องมองมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าบางอย่าง
“ไม่คิดเลยว่าข่าวลือจะเป็นจริง…”
หลังจากเกิดความเงียบครู่หนึ่ง จู่ ๆ เขาก็ถอนหายใจยาวและกล่าวขึ้นเบา ๆ ราวกับทราบข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผลึกนี้
“ข่าวลืออะไรรึ ?”
ฉินอวี้โม่มองเขาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้และเอ่ยถามออกไปทันที
“ท่านจอมยุทธ์เก็บผลึกนี้ไว้ก่อนเถอะ”
เขายื่นผลึกดังกล่าวคืนให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวต่อ “ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาก่อนว่า การที่จะครอบครองสมบัติภายในซากปรักหักพังของต้นไม้โลก มันจะต้องใช้วิธีการพิเศษเพื่อเข้าถึงพวกมันและมันก็คือผลึกเหล่านี้นั่นเอง หลังจากรวบรวมผลึกจากมนุษย์ต้นไม้ครบทั้งหมดและนำมารวมกัน สมบัติของต้นไม้โลกก็จะปรากฏขึ้นมาและจะได้รับโอกาสที่พิเศษเหนือจินตนาการ เดิมทีข้าเคยคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าไร้แก่นสาร คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นความจริงเช่นนี้”
ตัวเขาได้ยินเรื่องนี้มาโดยบังเอิญและไม่ปักใจเชื่อมาก่อน ถึงอย่างไรแล้วการรวบรวมผลึกวิญญาณเพื่ออัญเชิญสมบัติออกมาก็เป็นสิ่งที่ฟังดูน่าเหลือเชื่อจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม ผลึกสีม่วงนี้ร่วงลงมาจากลำต้นของมนุษย์ต้นไม้จริงและมันตรงกับข่าวลือที่ได้ยินมา เพราะเหตุนั้น เขาจึงเชื่อมันอย่างสนิทใจ
“เช่นนั้นเองหรือ ?”
ฉินอวี้โม่รับผลึกคืนมาและไม่สงสัยในวาจาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม นางคิดในใจว่ามันเหมือนกับการ์ตูนที่เคยได้อ่านจากยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเกี่ยวกับการรวบรวมลูกแก้วมังกรให้ครบเจ็ดลูกเพื่อขอพรจากเทพเจ้ามังกรซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
“กล่าวกันว่าต้นไม้โลกมีผู้พิทักษ์อยู่ทั้งหมดสิบสองตนซึ่งคุ้มกันในแต่ละพื้นที่ เมื่อมนุษย์ต้นไม้ทั้งสิบสองตนตายไป มันจะทิ้งผลึกวิญญาณไว้และการรวบรวมผลึกเหล่านั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการอัญเชิญสมบัติของต้นไม้โลกออกมา นี่เป็นเพียงหนึ่งในสิบสองต้นและเชื่อว่าต้นที่เหลือคงจะกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ของซากปรักหักพังแห่งนี้ บางส่วนก็อาจจะตายไปแล้ว”
บุรุษผู้นั้นครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวต่อ
ข่าวลือดังกล่าวมิใช่สิ่งที่เขาทราบเพียงคนเดียวเท่านั้นทว่ายังมีจอมยุทธ์อีกหลายคนที่ทราบมันเช่นกัน บางทีคนเหล่านั้นก็อาจจะสังหารมนุษย์ต้นไม้ที่เหลือไปแล้วและครอบครองผลึกวิญญาณไป
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าท้ายที่สุดแล้วผลึกวิญญาณจะตกไปอยู่ในมือของคนหลายคน หากต้องการอัญเชิญสมบัติออกมาก็คงต้องช่วงชิงผลึกวิญญาณมาจากผู้อื่นหรือเลือกที่จะร่วมมือกันเพื่ออัญเชิญสมบัติด้วยกันนั่นเอง
“ท่านจอมยุทธ์ ข้าทราบถึงตำแหน่งของผู้พิทักษ์ต้นไม้ตนหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือไม่ ?”
เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยเสียงเบา
ก่อนหน้านี้เขาพบมนุษย์ต้นไม้ตนหนึ่งมาแล้ว ทว่าไม่แข็งแกร่งพอที่จะสังหารมันได้ด้วยตัวเอง เพราะเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงออกมาก่อน ในเมื่อฉินอวี้โม่และซิวสามารถสังหารมันได้ เขาจึงเสนอให้ไปที่นั่นเพื่อสำรวจด้วยกัน
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยน ?”
เนื่องจากทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางบอกตำแหน่งของมนุษย์ต้นไม้โดยที่ไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง ฉินอวี้โม่จึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
.
.