ตอนที่ 1103 การลอบโจมตีของตระกูลเยี่ย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บุรุษผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าใจเย็นและรอยยิ้มเป็นมิตร “ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง ข้าไม่ทราบว่าท้ายที่สุดแล้วสมบัติจะปรากฏในรูปแบบใด ข้าเพียงหวังว่าหากมันเป็นสถานที่ ข้าจะได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมทางเพียงเท่านั้น”

ไม่มีผู้ใดที่จะไม่สนใจในสมบัติที่ถูกทิ้งไว้โดยต้นไม้โลก แม้ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ผู้นี้จะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา เขาก็สนใจในสมบัติดังกล่าวไม่ต่างจากผู้อื่น

“แน่นอนว่าหากท้ายที่สุดแล้วมีเพียงคนเดียวที่จะได้สมบัติไปครอง มันก็ต้องเป็นท่านอย่างแน่นอน ข้าไม่มีความคิดอื่นใดและเพียงต้องการสั่งสมความรู้และประสบการณ์เท่านั้น”

เขากล่าวต่อเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง

“ตกลง”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบตกลงในทันที

“นำทางเราไปที่ผู้พิทักษ์ต้นไม้นั่นเถอะ”

นางผายมือเพื่อให้บุรุษตรงหน้านำทางตนและซิวไปยังตำแหน่งของมนุษย์ต้นไม้ที่เขาพบก่อนหน้านี้ เวลานี้นางไม่ได้สนใจเพียงแต่ผลึกวิญญาณที่อยู่ในมนุษย์ต้นไม้เท่านั้น ทว่ายังรวมถึงเศษซากที่มีพลังของต้นไม้โลกหลงเหลืออยู่ซึ่งอาจจะอยู่ใกล้กับมนุษย์ต้นไม้เหล่านั้น

ซากของต้นไม้โลกเป็นประโยชน์สำหรับเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกอย่างมหาศาล แน่นอนว่านางต้องการตามหามันเพิ่มอีกและเชื่อว่ามันอาจทำให้เมล็ดพันธุ์หยั่งรากเติบโตก็เป็นได้

“อีกอย่าง…ข้าต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าการอยู่ใกล้ข้าอาจจะหมายถึงการกลายเป็นศัตรูกับตระกูลเยี่ยและตระกูลหนิง ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาจะต้องมีผลึกวิญญาณอยู่ในการครอบครองเป็นแน่และมีแนวโน้มสูงที่ข้าจะต้องประจันหน้ากับพวกเขา ข้าจึงอยากให้เจ้าคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ”

ฉินอวี้โม่กล่าวต่อเพื่อย้ำเตือนอีกฝ่ายและต้องการเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขา

“ฮ่า ๆ ๆ ก็แค่ตระกูลเยี่ย มิใช่เรื่องใหญ่หรอก”

จอมยุทธ์ผู้นั้นไม่สนใจแม้แต่น้อยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวตระกูลเยี่ยแต่อย่างใด

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มตอบโดยไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เห็นทีว่าสถานะของบุรุษผู้มีรูปลักษณ์ธรรมดาทั่วไปและดูมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีผู้นี้คงจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้

“ข้ามีนามว่าซ่งหยาง ท่านทั้งสองมีนามว่าอะไรรึ ?”

หลังจากแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้ม เขาก็มองฉินอวี้โม่และซิวด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ฉินอวี้โม่ ส่วนนี่คือซิว—อสูรพันธสัญญาของข้า”

ฉินอวี้โม่ไม่คิดปิดบังจึงกล่าวแนะนำตัวเองและซิวออกไปทันที

“ที่แท้ก็เป็นอสูรมายานี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่ข้าจะสัมผัสถึงระดับพลังของมันไม่ได้”

บุรุษผู้นั้นยิ้มบาง ๆ และในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่สามารถตรวจจับพลังของซิวได้ สำหรับอสูรมายาที่ทรงพลังมากเช่นนี้ การที่จะมองทะลุถึงพลังของมันไม่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก

เขารู้สึกเคารพนับถือฉินอวี้โม่มากขึ้นโดยอัตโนมัติ ในเมื่อมีอสูรคู่กายที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ นางจะเป็นบุคคลธรรมดาได้อย่างไร ? ต่อให้ตอนนี้พลังของฉินอวี้โม่จะไม่แกร่งกล้ามากนัก สักวันนางจะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงพลังที่ทั้งใต้หล้าต้องเงยหน้ามองดูอย่างแน่นอน…

จากนั้นซ่งหยางก็นำทางฉินอวี้โม่และซิวไปในทิศทางเหนือก่อนมาถึงบริเวณหนึ่งของผืนป่าที่หนาทึบกว่าก่อนหน้านี้มากนัก

นอกจากทั้งสามก็ยังมีจอมยุทธ์บางคนติดตามมาไม่ไกล เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการทราบว่าฉินอวี้โม่และคณะจะทำอย่างไรกันต่อไป

“เราจะทำอย่างไรกับคนพวกนั้น ?”

ซ่งหยางชำเลืองมองคนเหล่านั้นและขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ไม่ต้องสนใจหรอก”

ฉินอวี้โม่โบกปัดอย่างไม่สนใจนักและไม่หันไปมองคนเหล่านั้นด้วยซ้ำ

หลังจากเดินหน้าต่อไปหลายสิบก้าว เมล็ดพันธ์ุของต้นไม้โลกภายในคฤหาสน์เฟิงหัวที่ดูจะหลับใหลไปก่อนหน้านี้ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

มันลอยตัวไปมาอย่างรวดเร็วในคฤหาสน์เฟิงหัวโดยที่มีแสงส่องสว่างออกมาจากตัวของมัน เห็นได้ชัดว่ามันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอีกครา

“จะต้องมีซากของต้นไม้โลกอยู่ในบริเวณนี้”

ฉินอวี้โม่และซิวหันมองหน้ากันทันทีก่อนที่จะมองสำรวจไปรอบตัวเพื่อตามหาต้นไม้ที่มีลักษณะผิดแปลกจากต้นอื่น

หลังจากมองสำรวจไปรอบ ๆ สายตาของฉินอวี้โม่ก็หยุดลงที่ต้นไม้ขนาดเล็กต้นหนึ่งซึ่งดูเหมือนเพิ่งเติบโตได้เพียงไม่นานและมีความสูงประมาณสามฉื่อ

มันแผ่กลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายคลึงกับต้นไม้โลกซึ่งทำให้นางมั่นใจได้ทันทีว่ามันคือหนึ่งในเศษซากของต้นไม้โลกที่ตามหา

ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปและดึงต้นไม้เล็กนั้นมาเก็บไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที มิเช่นนั้น หากปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกปรากฏตัวออกมา มันอาจจะจุดชนวนให้เกิดความสงสัยจากผู้อื่นได้

“มันอยู่นั่น”

ซ่งหยางไม่ทันสังเกตเห็นการกระทำของฉินอวี้โม่เมื่อครู่ ในตอนนี้สายตาของเขากำลังจับจ้องไปในระยะที่ไม่ไกลนักและเห็นมนุษย์ต้นไม้ที่ปรากฏตัวอยู่

ทั้งสามเดินหน้าตรงไปเล็กน้อยก่อนมนุษย์ต้นไม้จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพวกนางและเริ่มเปิดฉากโจมตีก่อน

ความแข็งแกร่งของมนุษย์ต้นไม้ตนนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับมนุษย์ต้นไม้ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่และซิวจึงใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก่อนสังหารมันได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ครานี้ผลึกที่ร่วงลงพื้นกลับเป็นผลึกสีเขียว

มันมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับผลึกสีม่วงก่อนหน้านี้และไม่มีความผันผวนของพลังใด ๆ เช่นเดียวกัน

ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและเก็บผลึกสีเขียวไว้กับผลึกสีม่วงก่อนหน้านี้ จากนั้นทั้งสามก็เตรียมเดินทางต่อไป

ทว่าก่อนที่จะออกเดิน จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารบางอย่าง

“ระวัง !”

ซ่งหยางเองก็มีประสาทสัมผัสรับรู้ที่เฉียบไวเช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารดังกล่าวและเตือนฉินอวี้โม่ทันที

โครมมม !

ในเวลานื้ ซิวก็โบกมือเพื่อปลดปล่อยคลื่นพลังออกไปกลางอากาศก่อนที่ร่างของคนหลายคนจะถูกคลื่นพลังนี้กระแทกจนกระเด็นและปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าพวกนาง

“คนของตระกูลเยี่ย !”

คนเหล่านั้นล้วนมีใบหน้าที่นางรู้สึกคุ้นตา ซึ่งก็คือคนตระกูลเยี่ยที่ติดตามมากับเยี่ยซีก่อนหน้านี้นั่นเอง และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนี้ก็มีพลังอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา

ฝีมือในการต่อสู้ของเขาก็ควรจะอยู่ในระดับเดียวกับหนิงหม่านโหลวซึ่งถือว่ารับมือได้ยากพอสมควร

นอกเหนือจากเขาก็ยังมีจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่มีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์สามดาราจนถึงห้าดาราซึ่งไม่ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอเลย

สายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่กลุ่มของฉินอวี้โม่ตาเขม็งและแสดงจิตสังหารอย่างไม่ปิดบัง

“ส่งผลึกวิญญาณมาเสียดี ๆ และพวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า !”

หัวหน้ากลุ่มกล่าวอย่างเย็นชาและน้ำเสียงเจือด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างชัดเจน

ก่อนหน้านี้แม้ว่าฉินอวี้โม่และสหายอีกสามคนที่ร่วมมือกันจะต่อกรกับหนิงหม่านโหลวได้ก็จริง ทว่าตอนนี้นางอยู่เพียงลำพังเท่านั้นและบุรุษอีกสองคนก็คงจะไม่แข็งแกร่งมากนัก

ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายของเขามีสมาชิกถึงแปดคนโดยมีตัวเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและคนอื่น ๆ ที่เหลือก็มีพลังที่มากพอสมควร หากต่อสู้กับฝ่ายฉินอวี้โม่ที่มีกันเพียงสามคน เขาเชื่อว่าพวกนางไม่มีทางทำอันตรายต่อพวกตนได้อย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ช่างกล้ายิ่งนัก จะให้ข้าส่งผลึกวิญญาณให้และจะไว้ชีวิตข้างั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่หัวเราะอย่างยียวนและไม่หวาดหวั่นต่อคำข่มขู่ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าเองก็มีผลึกวิญญาณอยู่กับตัว เพราะฉะนั้นข้าจะใช้ประโยคเดียวกัน…ส่งผลึกวิญญาณมาเสียดี ๆ และพวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า !”

นางตระหนักดีว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้อยู่ในระดับที่สูงมากและเอาชนะได้ไม่ง่ายนัก อย่างไรก็ตาม หากใช้ไพ่ตายที่มีอยู่ เชื่อว่าพวกเขาจะมิใช่คู่มือของพวกนางอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่ใช้ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพเพื่อกักขังพวกเขาไว้ ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน

เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่มีทีท่าตื่นตระหนกหรือกังวลใด ๆ และสีหน้าเรียบเฉยเป็นอย่างมาก

“เจ้าเด็กยโสโอหัง ! กล้าพูดจาอวดดีกับข้าเช่นนี้รึ ?”

หัวหน้าของกลุ่มคนตระกูลเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวทันทีและไม่คิดว่าวาจาของฉินอวี้โม่มีน้ำหนัก มีพลังเพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา ทว่าคิดจะสู้กับพวกข้างั้นรึ? น่าขันชะมัด !

“ไม่ว่าจะอวดดีรึไม่ หลังจากที่ลองดูก็จะได้รู้เอง ถือซะว่าข้าให้โอกาสแล้ว…แต่พวกเจ้าไม่เห็นคุณค่าของมัน”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากก่อนก้าวถอยหลังเล็กน้อยและเริ่มจัดวางข่ายอาคมขึ้นมา

“ถ่วงเวลาไว้”

ซิวกล่าวกับซ่งหยางเบา ๆ และถือโอกาสปล่อยการโจมตีใส่คนตระกูลเยี่ยทันที

แม้ไม่เข้าใจว่าฉินอวี้โม่ต้องการทำสิ่งใด ซ่งหยางก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและตรงเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามพร้อมตะโกนกร้าว “ข้าอยากเห็นมานานแล้วว่าตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าจะมีฝีมือกันเพียงใด ในที่สุดก็ได้โอกาสเสียที !”

.

.