มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1060

“โฮก!”

เทพมารอสูรตนหนึ่งส่ายหัว หัวก็พลันเป็นเปลี่ยนเป็นสิงโตขนาดมหึมา ขนปลิวสยาย ปากกว้างคำรามด้วยความโกรธ คลื่นเสียงสะเทือนออกไป บดขยี้ปริภูมิ สั่นสะเทือนตัวหยั่งรู้ของผู้คนให้สั่นสะท้าน

งูมรณาจิ่วหยินก็ยากที่จะต้านทานเสียงคำรามนี้ได้ เกล็ดงูที่ราวกับเทือกเขาสีดำบิดเบี้ยวขึ้นมากลางอากาศ เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดอย่างมาก

นี่คือสนามรบของเทพมารช่วงต้น เทพมารขั้นสูงอย่างช่าจื่อเยียน อยู่ที่มหาสงครามกลางอนัตตาที่สูงขึ้นไปอีก

“หุบปากเดี๋ยวนี้!”

หลัวซิวตะโกนเสียงเข้ม ก้าวเท้ายาวขึ้นไปด้านหน้า ที่ตัวหยั่งรู้ของเขามีตำหนักจื่อเซียวคอยคุ้มกัน ย่อมไม่เกรงกลัวการโจมตีด้วยคลื่นเสียงระดับนี้อยู่แล้ว

เห็นเพียงเขาก้าวขึ้นไปบนอากาศ ฝ่ามือพลิกขึ้นมา ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นสั่นไหว ทั่วทั้งผืนฟ้ามืดครึ้มลงทันใด เหนือศีรษะของมารสิงห์ที่กำลังเงยหน้าคำราม ฝ่ามือขนาดมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศ กลางฝ่ามือมีภูเขาสีเขียวขจีตระหง่านอยู่นั้นถูกกดลงมาอย่างรุนแรง

นี่เป็นหนึ่งในวิชาพลังอมตะระดับเทพฟ้าวิชาหนึ่ง ถูกหลัวซิวใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปกลั่นแปรออกมา

“ปัง!”

ภูเขาเขียวขจีร่วงหล่นลงมา เสียงดังสนั่นราวกับจะกดทับเทพมารอสูรตนนี้ในแบนราบ เห็นเพียงเขากลายร่างกลับเป็นร่างเดิม นั่นคือสิงห์ทองที่มีขนาดตัวใหญ่มหึมา ภายใต้การสั่นไหวของร่างกาย ก็สะบัดภูเขาเขียวขจีนั้นให้กระเด็นลอยออกไป

“ดูแล้วพลังของข้าท้ายที่สุดก็ยังอ่อนแอมากอยู่ดี”

หลัวซิวสีหน้านิ่งเรียบ ผลการฝึกตนของเขากับเทพมารห่างชั้นกันมากเกินไป โดยทั่วไปกลยุทธ์เหล่านี้สามารถต่อกรกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้สบาย แต่หากเป็นการต่อสู้กับเทพมาร กลับแตกต่างกันมากทีเดียว มีเพียงต้องอาศัยสองระดับความเป็นตายผสานเป็นหนึ่งเกิดเป็นพลังเทพดั้งเดิมจึงจะสามารถพอเทียบได้

แต่ว่าเขากลับไม่ได้มีความคิดว่าจะสำแดงพลังทั้งหมดเพื่อสู้สุดชีวิตที่นี่ เพราะเขารู้ดีว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่มีความหมายแต่อย่างใดเลย เทพมารของสามเผ่าพันธุ์เข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด สุดท้ายจะเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

ในตอนนั้น หลัวซิวใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อผ่านทะลุวิชาห้ามค่ายกลแต่ละด่านและเดินขึ้นไปยังยอดเขา แต่ซุ๋นซินเหลียนกลับเดินทะลุขึ้นไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ก็สามารถเดินไปถึงบริเวณใกล้เคียงของพระราชวังทองคำแล้ว

ระดับค่ายกลของนางถึงแม้จะเป็นเพียงแค่นักค่ายเทพระดับหนึ่ง แต่ในเมื่อมีเข็มทิศค่ายกลนั้นเป็นตัวช่วย การทำลายค่ายเทพระดับสามก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

แม้กระทั่งต่อให้เป็นวิชาห้ามค่ายเทพระดับสี่ เพียงแค่ต้องการเวลาสักเล็กน้อย ก็สามารถค้นหาหนทางทะลุออกมาได้อย่างปลอดภัย

ถึงอย่างไรที่วิชาห้ามค่ายกลจำนวนมากในที่แห่งนี้ก็ไม่มีใครคอยคอบคุม ไม่ว่าจะเป็นความลึกลับหรือพลังอำนาจ ต่างก็ถูกลดทอนลงไปอย่างมาก

“ฮู่! ……”

ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งบินตรงเข้ามายังทางเหนือนภา รอบกายเต็มไปด้วยปราณปีศาจ อสูรฟ้าแต่ละตนคอยคุ้มกันเอาไว้

เทพปีศาจตนนี้ ก็คือผู้แข็งแกร่งที่เป็นคนจัดวางค่ายอสูรฟ้าดูดจิต หลังจากบินออกมาจากทางเหนือนภา ก็ขี่อสูรฟ้าใหญ่ทั้งเก้าบินตรงไปทางยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังทองคำ

“หยุดเขาไว้!”

ช่าจื่อเยียนออกโรง ระฆังปีศาจมรณาในมือนั้นสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง ปล่อยเสียงดังของระฆังออกมาอย่างรวดเร็ว หมายจะลงมือต้านเทพปีศาจผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลเอาไว้

“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”

ผู้แข็งแกร่งเทพปีศาจขั้นสูงตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ตะโกนคำรามเสียงดัง คลื่อนเสียงของระฆังปีศาจมรณาที่สั่นไหวก็ถูกทำลายจนสลายไป

ในเวลาเดียวกัน กลางทางเหนือนภา การต่อสู้ของอสูรดูดจิตโบราณและเทาเที่ยเทพมารอสูรก็ดุเดือดถึงขีดสุด

หลังจากนั้นไม่นาน เทาเที่ยเทพมารอสูรก็ออกมาจากทางเหนือนภาด้วยเลือดท่วมตัว ดวงตาสีแดงเข้มคู่หนึ่งสั่นไหวเป็นประกายด้วยความกระหายเลือด

เขาไม่สามารถดูดกลืนอสูรดูดจิตโบราณได้ และอสูรดูดจิตโบราณก็ไม่สามารถดูดกลืนเขาได้เช่นกัน ผลสุดท้ายก็คือทั้งสองต่างผ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บ อสูรดูดจิตโบราณหลบเข้าไปด้านในอนัตตาไม่สิ้น เหมือนกับมังกรลงไปในมหาสมุทร ทำให้เขาไม่มีสามารถจะตามไล่ล่าได้

เดิมแล้วอสูรดูดจิตโบราณก็คืออสูรจิตที่อาศัยอยู่ภายในอนัตตาไม่สิ้น สำหรับผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์คนอื่น ๆ อนัตตาไม่สิ้นคือสถานที่ซ่อนสิ่งลึกลับไว้อย่างมากมาย แต่สำหรับอสูรดูดจิตโบราณแล้วกลับเหมือนเป็นเพียงแค่การกลับบ้านของตนเท่านั้น

เมื่อมีเทาเที่ยเทพมารอสูรตัวนี้มาเข้าร่วม ชั่วขณะหนึ่งเทพมารทุกคนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ตกอยู่ในวิกฤติ เทพมารยิ่งสู้ก็ยิ่งบาดเจ็บ และล้มตายในที่สุด