มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1059

ทางฝั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ย่อมต้องเป็นผู้ที่เข้าไปในโซนแดนปริศนาก่อน หลังจากเดินออกมาจากทางเหนือนภาแล้ว ช่าจื่อเยียนก็มีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “น้องหญิงซินเหลียน เจ้าน่าจะรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสหนึ่งของพี่หญิงที่จะได้กลับไปยังโลกเสวียนเทียน ดังนั้นเรื่องนี้ พี่หญิงก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

ซุ๋นซินเหลียนคือนักค่ายเทพคนหนึ่ง มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถผ่านทะลุวิชาห้ามค่ายกลแต่ละด่านเพื่อเข้าไปในพระราชวังทองคำ อีกทั้งผลการฝึกตนของนางก็อยู่ในระดับเทพมารช่วงปลายแล้ว สามารถเทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นสูง การต้านทานพลังกดขี่ของเทพสงครามเอกภพ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

“พี่หญิงวางใจ ซินเหลียนจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน” ซุ๋นซินเหลียนพูดอย่างเคร่งขรึม

ช่าจื่อเยียนยิ้มบาง ๆ พยักหน้าพร้อมเอ่ยต่อ “หากว่าภายในพระราชวังนั้นยังมีสิ่งอื่นใดที่เป็นอันตราย เจ้าจะต้องระวังและดูแลตนเองให้ดี รู้หรือไม่?”

“อะอะอะ ซินเหลียนไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย จะว่าไปก็เป็นเทพมารที่มีชีวิตอยู่นับหมื่นปีแล้ว พี่หญิงไม่ต้องกังวลใจไป”

ระหว่างที่พูด ซุ๋นซินเหลียนก็หันไปทางท่านพี่ซุ๋นหวู่หยาของตน พูดพร้อมกับขยิบตา “ความปลอดภัยของพี่หญิงจื่อเยียน ข้ายกให้ท่านดูแลแล้วกัน!”

เมื่อซุ๋นซินเหลียนพูดจบ ก็กระโดดลอยขึ้นฟ้าไปทันที มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาสูงเสียดฟ้าลูกนั้นที่อยู่ตรงใจกลาง

กลางท้องฟ้าภายในแดนปริศนาแห่งนี้ มีการจัดวางวิชาห้ามชนิดต่าง ๆ นับไม่ถ้วน ในตอนนั้นที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารทุกท่านเข้ามา ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าบินขึ้นไปกลางอากาศสุ่มสี่สุ่มห้า

แต่ซุ๋นซินเหลียนกลับไม่ได้สนใจเลยแม้สักนิด นางบินข้ามฟากฟ้า โดยมีเข็มทิศค่ายกลลอยอยู่เคียงข้าง วิชาห้ามค่ายกลมากมายที่ลอยอยู่กลางอากาศ ต่างก็ถูกคลายจนสลายไป

“เป็นวิชาค่ายกลที่เก่งกาจยิ่งนัก!” หลัวซิวอ้าปากค้างมองตามไป เขารู้ดีว่าบนเส้นทางค่ายเทพ เขาก็เป็นเพียงแค่ผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาเท่านั้น

จ้องมองร่างของซุ๋นซินเหลียนที่ค่อย ๆ หายลับไปไกลสายตา กลับมีแค่เพียงหลัวซิวเองเท่านั้นที่รู้ดีว่า กลางพระราชวังทองคำแห่งนั้น ในเวลานี้กลับเหลือเพียงแค่เหลือเศษซากโครงกระดูกของเทพสงครามเอกภพเท่านั้น

“หวังว่าซุ๋นซินเหลียนผู้หญิงคนนี้จะไม่เอาโครงกระดูกของเทพสงครามมาระบายความโกรธ” หลัวซิวแอบคิดอยู่ในใจ

โครงกระดูกของผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้าขั้นสูง ถือเป็นเครื่องสังเวยชั้นดีสำหรับสมบัติเทพฟ้า แต่เทพสงครามเอกภพก่อนตายได้รับพิษร้ายแรง โครงกระดูกและเลือดเนื้อถูกกัดกร่อนจนสิ้น ไม่หลงเหลือความเป็นเทพอยู่อีก ไม่สามารถที่จะถูกนำมาสังเวยได้อีกครั้ง

ซุ๋นซินเหลียนรุดหน้าไปสำรวจพระราชวังแห่งนั้นของเทพสงครามเอกภพ ช่าจื่อเยียนและซุ๋นหวู่หยาก็พาเทพมารทุกคน มาขวางกั้นเทพมารแห่งเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจเหล่านั้นไว้ที่ปากทางออกของทางเหนือนภา

“ปัง!”

มหาสงครามเริ่มต้นขึ้น ผู้แข็งแกร่งเทพมารสามสิบกว่าคนสู้กันอย่างอลม่าน การต่อสู้สะเทือนไปทั่วทั้งโซนแดนปริศนา

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวไม่สามารถเรียกใช้เกราะเทพเวหากาลได้ ยังไม่พูดถึงว่าผลการฝึกตนของเขาสามารถควบคุมเกราะเทพเวหากาลได้แค่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น บางทีหากมีคนที่รู้ที่มาของเกราะเทพชุดนี้ จะต้องเกิดปัญหาใหญ่หลวงกับเขาเป็นแน่

ดังนั้นการเข่นฆ่าในสนามรบของเหล่าผู้แข็งแกร่งเทพมารช่วงกลางขึ้นไป หลัวซิวจึงไม่ได้เข้าร่วม แต่ร่วมมือกับงูมรณาจิ่วหยิน เพื่อเข่นฆ่าเหล่าเทพมารช่วงต้นของเผ่าปีศาจมารทั้งสองเผ่าพันธุ์แทน

สงครามเทพมาร สะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดิน กฎดั้งเดิมพลังเทพสามารถทำลายพิภพอนัตตาให้สูญสลายได้โดยง่าย ทำให้อสูรจิตของพิภพต่ำกลายเป็นเถ้าถ่าน

เหตุที่แดนดารานอกเต็มไปด้วยรูพรุน ทรุดโทรมลงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็เป็นเพราะว่าหลายหมื่นหลายล้านปีก่อน เคยเกิดมหาสงครามของผู้แข็งแกร่งเทพมารขึ้น

ที่โชคดีก็คือ ในเวลานี้สถานที่ต่อสู้ของเทพมารทุกคนไม่ได้อยู่ภายในโลกแสงดาว แต่เป็นโซนแดนปริศนาที่เทพสงครามเอกภพเปิดขึ้น

ถึงแม้ว่าตอนที่เปิดโซนแดนปริศนาแห่งนี้ เทพสงครามเอกภพจะได้รับพิษร้ายอยู่ในร่างกาย เข้าสู่สภาวะใกล้ตายแล้ว แต่ด้วยกลยุทธ์การเปิดโซน ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะถูกทำลายจนสลายไปได้