ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 900 เจ้าไร้เจตนา ข้ามีเจตนา

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

‘ตราประทับ…ตะวัน…หรือนี่ ไม่เห็นมานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันในสถานที่เช่นนี้…’

เยี่ยนจ้าวเกอยังจำได้ดี ว่าในตอนที่ตนอยู่ในสุสานมังกร ผนึกได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง หุบเหวเหมันต์บรรพกาลกลับคืนสู่สภาพก่อนหน้า ส่วนสุสานมังกรพังลาย

ในครานั้น สุสานมังกรยังเหลือกลิ่นอายของจิตสายหนึ่ง มาจากตัวตนที่ถูกผนึก

ในตอนที่กลิ่นอายจิตปรากฏขึ้น ประโยคนี้ก็แวบผ่านขึ้นในศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ

ยามนั้น เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกประหลาดใจ

อีกฝ่ายรู้จักตราประทับตะวัน

ต่อมาเมื่อไร้สิ่งใดให้เชื่อมโยม เขาก้ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีก

กระนั้นในตอนนี้ ทุกอย่างได้กระจ่างขึ้นแล้ว

ยามนี้หลังจากมองดูยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตนนั้นอีกครั้ง แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็มีความประหลาดใจเพิ่มขึ้นอย่างอดไม่ได้

สุสานมังกรในตอนนั้น ถูกตนขุดไปมากกว่าครึ่ง…

ความสนใจของยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตนนั้นตอนนี้อยู่ที่ทวนพระอังคารซึ่งอยู่ด้านนอก ดวงตาเต็มไปด้วยความคับแค้นแน่วแน่

“พวกเราจะออกไป” ยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตนกล่าวเสียงทุ้ม

ฟู่ถิ่งส่ายหน้า ขณะกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นอีก “พวกเจ้าไม่ออกมา…”

พลังที่คลุ้มคลั่งซัดโหม สถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยเปลี่ยนเป็นร้อนแรงยากทนทาน

ปราณสีขาวดำที่เดิมทีอยู่ในลักษณะหยินหยางเกื้อกูล ครานี้เปลี่ยนเป็นเลอะเลือน จากนั้นก็กลายเป็นสีแดง พากันลุกไหม้ขึ้นมา

“…เช่นนั้นข้าจะเข้าไป” หลังจากเสียงที่เกรี้ยวกราดนั้นกล่าวจบ ท้องฟ้าของสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยก็แยกออก แสงสีแดงละลานตาสาดออกมาจากด้านใน ส่องสว่างไปทั่วยอดตำหนัก

ด้านในแสงสีแดงปรากฏเพลิงลุกโชน เปลวเพลิงผนึกรวมกันกลายเป็นเงาร่างสายหนึ่งกลางฟ้าดิน

นั่นเป็นเงาคนที่มองเห็นหน้าไม่ชัด ร่างสูงเก้าจั้ง ทั่วทั้งร่างมีมังกรเพลิงหลายตัวเคลื่อนไหววนเวียน

ด้านใต้เท้าเหยียบมังกรเพลิงสีแดงที่มีขนาดใหญ่กว่าสองตัวเอาไว้

คนเหมือนกับเป็นเทพที่แปลงกายจากไฟองค์หนึ่ง

สภาวะที่เกรี้ยวกราดเหี้ยมหาญ ม้วนพัดไปทั่วสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อย เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นทะเลเพลิงอย่างรวดเร็ว

พวกฟู่ถิงที่เป็นลูกศิษย์ยอดเขาอัศจรรย์ สีหน้าเคร่งเครียดถึงขีดสุด

แม้จะทราบว่าอีกฝ่ายมีพลังเหี้ยมหาญ ไม่แตกต่างกับยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจักรพรรดิผู้หนึ่ง ต่อให้จักรพรรดิแพรจะอยู่ที่นี่ก็ต้องเกิดสงครามอันดุเดือด

ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายบุกเข้ามาในสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยเร็วถึงเพียงนี้ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจขวัญหายไม่น้อย

จักรพรรดิแพรแม้ว่าจะไม่อยู่ แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเขาสร้างขึ้นด้วยตัวเอง

ปัจจุบันกลับถูกตีแตกเร็วถึงเพียงนี้ ศัตรูผู้ไม่เหมือนใครที่อยู่ตรงหน้า ดุร้ายยิ่งกว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้เสียอีก

หลังจากที่เทพอัคคีปรากฏกาย ใบหน้าที่ไร้องคาพยพก็มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอพลันสัมผัสได้ว่า ทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ตนเหมือนกับกำลังระเบิดและมอดไหม้

ไม่ใช่แค่สิ่งที่จับต้องได้เท่านั้นที่ระเบิด แต่ว่าสิ่งที่เล็กยิ่งกว่าเมล็ดผักกาดและฝุ่นผง ในวินาทีนี้ก็คล้ายกับกำลังจะระเบิด ก่อนจะลุกไหม้หายไปเช่นกัน

ฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วน แทบมีค่านับอนันต์ ต่างกำลังปะทุขึ้นมาพร้อมกัน

ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ล้วนกำลังถูกทำลาย ไม่อาจแข็งขืน

“ตราประทับตะวัน…ไม่เห็นมานานแล้วจริงๆ” มีเสียงดังจากในร่างใหญ่โตที่เปลวเพลิงผนึกรวมกันว่า “เด็กน้อย เจ้าเป็นผู้สืบทอดของเกาหานหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตราประทับตะวันของตนกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่เดิมทีมีคุณสมบัติวิญญาณไม่ธรรมดา ยามนี้กลับเกิดปฏิกิริยาที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพียงแต่ว่านั่นไม่ใช่ความยินดีอย่างสหายที่ได้พบพานกันอีกครั้ง

แต่เป็นความกริ่งเกรง!

เยี่ยนจ้าวเกอยามนี้เกือบอดกลอกตาขาวไม่ได้

แม้ว่าเก้านพเคราะห์ในอดีตจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก กระนั้นก็มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่ทราบว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร

ต่อให้จะมีอุดมการณ์ร่วมกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่ละคนมีมิตรภาพลึกซึ้ง ในทางตรงกันข้าม อาจจะมีความขัดแย้งอยู่มากมาย

หากดูจากปฏิกิริยาในตอนที่ตราประทับตะวันกับมงกุฎจันทราอยู่ด้วยกัน กับภาพเหมือนเงาแสงที่ราชันพระจันทร์ได้เหลือทิ้งไว้ในโลกซ้อนโลก จะเห็นได้ว่าระหว่างราชันพระอาทิตย์กับราชันพระจันทร์สมควรมีการคบหาไม่เลว

แต่ว่าสำหรับทวนพระอังคาร ดูจากการตอบสนองของตราประทับตะวันแล้ว เกรงว่าเจ้านายรุ่นก่อนสองท่านจะไม่ได้กลมเกลียวกันเท่าไรนัก

นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอไม่อาจไม่ระวังตัว ทั้งไม่อาจกางธงใหญ่ต่างหนังพยัคฆ์ได้ตามใจ

ถ้าหากทวนพระอังคารยอมเห็นแก่หน้าเกาหานราชันพระอาทิตย์ เช่นนั้นย่อมประเสริฐสุด

แต่ว่าดูจากตอนนี้แล้ว เกิดหยิบยกราชันพระอาทิตย์ขึ้นมา ก็มีแต่จะสะกิดโทสะของทวนพระอังคารให้เพิ่มขึ้น

ลูกศิษย์ยอดเขาอัศจรรย์ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอครอบครองตราประทับตะวันอยู่แล้วยังพอทำเนา ยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตนนั้น ครั้งนี้มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความสั่นสะท้าน

เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจลึก กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าไม่ใช่ผู้สืบทอดของราชันพระอาทิตย์ แต่ว่าได้รับตราประทับตะวันมาโดยบังเอิญ อีกทั้งยังฝึกฝนคัมภีร์เทพพระอาทิตย์ กระนั้นก็ไม่ค่อยรู้จักราชันพระอาทิตย์ดีนัก ทั้งไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้ปัจจุบันไปอยู่ที่ใด”

เทพอัคคีองค์นั้นมองเยี่ยนจ้าวเกอเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “แม้จะเป็นผู้สืบทอดของเกาหาน ข้าก็ไม่คิดสร้างความลำบากให้ผู้เยาว์อยู่ดี เพียงแต่อยากให้เจ้าไปจัดการเรื่องราวบางอย่างให้ข้า”

“ข้าเชื่อคำพูดของเจ้า ทว่าเจ้าต้องระวังไว้ให้มาก”

“เกาหานมีความคิดซ่อนเร้น น้อยครั้งจะลงหมากที่ไร้ประโยชน์”

“เขาอาจไม่มีเจตนา แต่อาจจะเป็นข้าที่มี”

หลังจากกล่าวจบ สายตาของเขาก็เลื่อนไปอยู่บนร่างของยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตนนั้นอีกครั้ง

พริบตาเดียว เพลิงลุกโชนสามกลุ่มก็ลอยขึ้นด้านบน ครอบคลุมยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตนนั้นไว้!

เยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ รวมถึงคนในยอดเขาอัศจรรย์ แม้ว่าจะอยู่ด้านข้าง กลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย เปลวเพลิงอันน่ากลัวนั้นมาจากยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตน

เปลวเพลิงจำกัดอยู่ที่พื้นที่สามตารางชุ่น แต่ว่าพื้นที่สามตารางชุ่นนี้ กลับกลายเป็นทะเลเพลิงนรก!

เผ่ามังกรสามตนส่งเสียงร้องพร้อมกัน ดิ้นรนพร้อมกับถอดร่างคน คืนสู่ร่างดั้งเดิม กลายเป็นมังกรแท้ข้ามสวรรค์สามตัว!

มังกรขนาดยักษ์แต่ละตัว ต่างมีขนาดใหญ่กว่าเผ่ามังกรที่หลับไหลตลอดกาลอยู่ในสุสานมังกร มีสภาวะน่าตระหนกยิ่ง

มังกรจริงแท้สามตัวที่เทียบได้กับยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนเผ่ามนุษย์สามคน ครั้นระเบิดลมปราณออกมา ก็พลันสั่นไหวฟ้าสะเทือนดิน คล้ายจะเด็ดดาวคว้าจันทร์

ทว่าตอนนี้เพลิงลุกโชนพันธนาการร่าง ต่อให้พวกเขาดิ้นรนขนาดไหน ก็ไม่อาจดับเปลวเพลิงบนร่างได้

มังกรแท้ตัวนั้นอ้าปาก พ่นน้ำทะเลไร้ประมาณออกมา

น้ำทะเลกลายเป็นมหาสมุทรผืนหนึ่งในชั่วอึดใจเดียว แทบจะท่วมทะเลหวงเจียส่วนหนึ่งได้

แต่ทว่าปริมาณน้ำทะเลระดับนี้ ทั้งยังแฝงมหาวารีเจือปราณมังกรญาณจริงแท้ เมื่อแตะถูกใส่เปลวเพลิงบนร่างของเขา ก็กลับถูกต้มจนระเหยหาย!

เยี่ยนจ้าวเกอไม่อาจไรู้สึกสนใจ เพราะการคาดเดาของตนถูกต้อง ‘เจ้าสิ่งนี้หากลงมือในทะเลหวงเจีย ต่อให้จุดแค่สะเก็ดไฟ ทะเลหวงเจียคงถูกต้มจนแห้ง’

ต่างใช้ไฟเหมือนกัน ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็มีจักรพรรดิมหาอัคคี และจักรพรรดิปีศาจอัคคี

แม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะไม่เคยเห็นจักรพรรดิปีศาจอัคคีลงมือด้วยตาตัวเอง แต่หากยึดตามการบรรยายของคนอื่นๆ แล้ว ความสามารถของจักรพรรดิปีศาจอัคคีคงจะประมาณนี้

ฟู่ถิงเห็นดังนั้นก็ลนลาน

นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋สองพ่อลูกด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ดึงพวกท่านเข้ามาเกี่ยวข้องเสียแล้ว ขออภัยด้วยจริงๆ พวกท่านระวังตัวด้วย!”

ไม่รอเยี่ยนจ้าวเกอตอบ ฟู่ถิงก็เงยมองเงาร่างที่มีอัคคีโหมลุกไหม้บนท้องฟ้า ร้องเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเผ่ามังกรสามท่านมายังสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยของข้า ก็ถือเป็นแขกของยอดเขาอัศจรรย์ อภัยที่ผู้เยาว์ล่วงเกินแล้ว!”

พูดจบนางก็ตบมือใส่หน้าผากของตัวเอง เหมือนกับต้องการฆ่าตัวตาย

แต่ว่าที่กลางฝ่ามือและบนหน้าผากของนาง ปรากฏลวดลายไท่จี๋รูปหนึ่งพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างประสานเสียง

………………..