เสียงยิ่งใหญ่นั่นเป็นของมู่ฮูหยิน
ในฐานะจักรพรรดินีเผ่าปีศาจและนักปราชญ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ นางย่อมมีเกียรติภูมิสูงส่งเหนือจินตนาการในเมืองไป๋ตี้ แต่นางก็พบว่าการจะเปลี่ยนเผ่ามารให้เป็นแขกนั้นเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก การกระทำแบบนี้เสียงที่จะทำให้เกิดการประท้วงอย่างยิ่ง
ชาวเผ่าปีศาจภายในตำหนักมีอำนาจมากกว่าชาวบ้านหน้าเมืองพระราชวัง ดังนั้นพวกเขาจึงมีความคิดในใจมากกว่า
มีแต่ร่างยักษ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุดที่ยังนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว ปิดตาอยู่เงียบๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงอื้ออึงที่เกิดจากชายหนุ่ม ไม่ได้ยินคำเชิญของมู่ฮูหยิน และตำหนักหินก็เงียบยิ่งกว่าที่คาดเอาไว้มาก
ความเงียบมักบ่งบอกถึงการกดขี่ บรรยากาศในตำหนักหินเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผู้นำเผ่าต่างๆ ในสภาผู้อาวุโส แม่ทัพขุนนางในราชสำนักต่างก็ส่งสายตาเปี่ยมความหมายให้กัน ไม่ก็มองดูพื้นดินเงียบๆ หรือหรี่ตารอชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานมาถึง
……
……
ตำหนักอสูรอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองพระราชวัง ตรงหน้าตำหนักมีแท่นหินขนาดใหญ่ บนขอบแท่นหินมีต้นสาลี่ปลูกอยู่ต้นหนึ่ง เลยต้นสาลี่ไปเป็นระเบียงหินทอดยาว หากยืนอยู่บนระเบียงก็จะมองลงมาเห็นถนนทั้งหมดในเมืองไป๋ตี้และคลื่นปั่นป่วนในแม่น้ำแดง ถึงกับมองเห็นต้นไม้สวรรค์ที่ห่างไปหลายร้อยลี้
นี่คือแท่นสังเกตการณ์อั้นโด่งดังของเมืองพระราชวัง
ผู้คนที่มีสิทธิ์ยืนบนนี้ไม่ได้มาเพื่อชมทิวทัศน์ แต่คิดถึงประเทศ ถึงโลกใบนี้
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานเดินบนแทนสั่งเกตการณ์ เขายืนใต้ต้นสาลี่และมองดูสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหินขนาดใหญ่ที่เรียกว่าตำหนักอสูร แต่ดูไม่มีเจตนาจะเข้าไป
เสียงกระซิบมาจากภายในตำหนักหิน ผสมไปกับเสียงลมหายใจและเสียงระบายความคิดในใจ
หลังจากเวลาผ่านไป เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากภายในตำหนักหิน ผู้พูดคือไท่กงของราชสำนักเผ่าปีศาจ เป็นคนสำคัญของเผ่าลู่ที่เก็บตัวเสมอมา แต่ด้วยเหตุบางอย่างเขาเลือกที่จะพูดก่อนในวันนี้
“ท่านเดินทางไกลจากเมืองเสวี่ยเหล่ามาเพื่อเหตุใด”
ชายหนุ่มตอบ “แน่นอนว่าเพื่อเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิต”
ผู้นำเผ่าหลี่พูดขึ้น น้ำเสียงเย็นชามืดมัวราวกับน้ำพุกลางเขาในฤดูหนาว “เจ้าคิดจะแต่งกับองค์หญิงลั่วลัวอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มตอบอย่างเฉยชา “ถูกต้อง ข้าชื่นชมความสูงสง่าขององค์หญิงเสมอมา ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อร่วมพิธีสวรรค์พิจิตโดยเฉพาะ มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ ตามที่ข้ารู้ ไม่ว่ากฎของพิธีสวรรค์พิจิตหรือกฎหมายของเผ่าปีศาจก็ไม่ได้ห้ามไว้”
เสียงของผู้นำเผ่าหลี่เย็นเยียบกว่าเดิมยามที่ถาม “เจ้าคิดว่าเผ่ามารก็มีสิทธิ์อย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มตอบอย่างใจเย็น “เพลิงเถื่อนในต้นไม้สวรรค์ไม่ลำเอียง เมื่อวานข้าผ่านการทดสอบจากวิญญาณบรรพบุรุษแล้ว ดังนั้นข้าจึงมีสิทธิ์”
ตำหนักเงียบไปชั่วขณะ ชาวเผ่าปีศาจไม่รู้ว่าจะตอบคำพูดนี้เช่นใด หลายคนเห็นปรากฏการณ์บนภูเขาเมื่อวานนี้ด้วยตัวเอง หัวหน้านักบวชยืนยันหลังจากนั้นว่าชายหนุ่มผ่านการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษจริง ธรรมเนียมของเผ่าปีศาจบอกว่าไม่ว่าชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานจะมาจากไหน เขาในตอนนี้นับว่าเป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจแต่…
เสียงผู้นำเผ่าหลี่ยังเย็นเยียบเช่นเคย แม้ว่าจะน้อยลงกว่าก่อนอยู่บ้าง “ต่อให้เจ้าผ่านการชำระของเพลิงเถื่อนและการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษ ถึงกับได้รับชัยชนะในพิธีสวรรค์พิจิต เจ้าก็ยังเป็นมาร แล้วจะแต่งกับองค์หญิงของเผ่าเราได้อย่างไร”
ไท่กงเผ่าลู่ส่งเสียงเห็นด้วย “ใช่ เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน มันเหลวไหลเกินไป”
“ไม่ถูกต้อง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์”
คำพูดนี้ทำให้ตำหนักหินเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นทันที ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีองค์หญิงเผ่าปีศาจหลายองค์ที่แต่งไปยังเมืองเสวี่ยเหล่าที่ห่างไกล โดยเฉพาะเมื่อสองพันปีก่อน อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ช่วงประวัติศาสตร์ที่งดงาม แต่เป็นยุคที่น่าอับอายของเผ่าปีศาจ ผู้นำเผ่าต่างๆ และเหล่าแม่ทัพได้เริ่มสบถใส่คนนอกตำหนัก สองคนที่อารมณ์รุนแรงชักดาบชักขวานออกมาอยากฟันชายหนุ่มให้ตายไปตรงนี้
ท่ามกลางเสียงพวกนี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นเสียงทุ้มต่ำดังสะท้อนไปทั่วตำหนักหินกว้างใหญ่
เสียงสบถและโต้เถียงหายไปในขณะที่แม่ทัพสองคนที่ถือดาบกับขวานหยุดลงเช่นกัน
เพราะเสียงนี้มาจากผู้อาวุโสใหญ่ คนที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของเผ่าปีศาจ ผู้นำของเผ่าเซียง
“เจ้าตั้งใจทำอะไรกันแน่”
การหยุดพูดคุยและสบถด่าและการชะงักของสองแม่ทัพก็เป็นเพราะความเคารพต่อผู้นำเผ่าเซียง
แต่คนที่เงียบอย่างผู้นำเผ่าซื่อกับผู้นำเผ่าหมีมีความหมายที่ลึกกว่านั้น
คืนก่อนด้วยการชี้แนะของอารามเต๋าซีหวงกับการช่วยเหลือของขุมกำลังต่างๆ พวกเขาได้พบและคาดเดาบางอย่างได้ในที่สุด
ความจริงยังซ่อนอยู่ในหมอกของเทือกเขา ไม่เผยออกมาจนหมด แต่ผู้นำเผ่าเซียงน่าจะรู้ตัวตนของชายหนุ่มอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมเขายังถามเรื่องเจตนาที่แท้จริงอีก มันหมายความว่าอย่างไร
หากพวกเขาคิดตาม คำถามของไท่กงและผู้นำเผ่าหลี่ก็มีปัญหาเช่นกัน
คำพูดของพวกเขาดูเหมือนกับจะหาเรื่องสร้างความยากลำบากให้กับชายหนุ่มจากเมืองเสวี่ยเหล่า แต่ในความเป็นจริง พวกเขามอบโอกาสให้ชายหนุ่มเผ่ามารได้อธิบาย ยิ่งไปกว่านั้นจากการสนทนาของพวกเขา พวกเขาก็สามารถลดความตกใจและโมโหลงได้บ้างจริงๆ
ผู้นำเผ่าซื่อกับผู้นำเผ่าหมีมองหน้ากัน เห็นความตกใจและหวาดกลัวในสายตาของอีกฝ่าย
……
……
เสียงของผู้นำเผ่าเซียงทอดผ่านตำหนักหินไปถึงแท่นสังเกตการณ์
เสียงของเขาเหมือนกับระฆังโบราณ ผสานกับพลังที่ไร้จำกัด แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาเต็มที่ เสียงของเขาก็ยังทำให้เกิดลมขึ้นมา
นี่เป็นกลางฤดูหนาวชัดๆ แต่ต้นสาลี่บนแท่นสังเกตการณ์ก็ยังออกดอกบานสะพรั่ง
ลมนี้ทำให้ดอกไม้ขาวร่วงลงบนหมวกไผ่สานและตกลงบนไหล่ของชายหนุ่ม
ริมฝีปากชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางเมื่อเขานำเอาหนังสือม้วนบางออกมาจากแขนเสื้อ
แค่กระดิกนิ้วหนังสือม้วนก็ลอยไปช้าๆ เข้าสู่สำหนักราวกับมีเชือกที่มองไม่เห็นดึงไป
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงร้องอย่างประหลาดใจก็ดังมาจากตำหนักหิน
ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างไม่อยากเชื่อที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“นี่มันอะไร”
“นี่คือแผนที่ทุ่งหิมะในแผ่นดินของเผ่ามารอย่างนั้นหรือ”
“พวกเผ่ามารคิดอะไร เส้นสีแดงนี้หมายความว่าอย่างไร พวกเขาต้องการจะยกเขตแดนส่วนนี้ให้จริงหรือ”
“นี่ต้องเป็นแผนอย่างแน่นอน แผนของชุดดำ!”
เมื่อเวลาผ่านไป เสียงตะโกนโต้เถียงก็สงบลง เหลือไว้แต่ตำหนักที่เงียบงัน
สามารถได้ยินเสียงลมหายใจของชาวเผ่าปีศาจเหล่านี้ได้อย่างเบาบาง เป็นลมหายใจที่ถี่กระชั้นอยู่บ้าง
ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วตำหนัก ส่งผลให้เกิดบรรยากาศกดดันอย่างประหลาด
บางทีอาจเป็นเพราะความกังวลหรือตกใจไม่ก็ตื่นเต้น
หลังจากเวลาผ่านไป เสียงสั่นเทาก็ถามขึ้น “เจ้า…สามารถเป็นตัวแทนของเมืองเสวี่ยเหล่าอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มปัดดอกไม้ขาวออกจากไหล่และตอบ “แน่นอน”
อีกเสียงหนึ่งถาม “เมืองเสวี่ยเหล่า…จะพิสูจน์ความจริงใจของเจ้าอย่างไร”
ชายหนุ่มตอบอย่างใจเย็น “ราชันผู้นี้มาเองยังไม่แสดงถึงความจริงใจอีกหรือ”