‘ราชัน’ อาจเป็นชื่อ อาจเป็นแซ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นการเรียกถึงตำแหน่ง
ระหว่างฟ้า ดิน ราชัน บิดา อาจารย์ มีคำนั้นอยู่ตรงกลางพอดี
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานเป็นมารและเรียกตัวเองว่า ‘ราชัน’ ดังนั้นฐานะของเขาก็ชัดเจนแล้ว
เขาคือราชามาร
ตำหนักหินเงียบอย่างที่สุด
อันที่จริงมีเสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่ในใจของทุกคน
พลังของฟ้าร้องนี้น่ากลัวจนทำให้ทั้งเมืองพระราชวังตะลึงงันไป ทำให้ดอกสาลี่ไม่กล้าแม้แต่จะร่วงหล่น
นอกจากร่างโดดเดี่ยวของชายหนุ่ม แท่นสังเกตการณ์ที่ยังคงอ้างว้างไร้ชีวิตชีวา ที่แห่งอื่นได้วุ่นวายไปแล้ว
สามารถเห็นร่างขององครักษ์อสูรที่เคลื่อนไหวไปทั่วเมืองพระราชวังอย่างรวดเร็ว
สามารถเห็นธงของทหารม้าไปทั่วเมืองพระราชวัง
เมืองพระราชวังถูกล้อมอย่างรวดเร็ว
ผนึกสองฝั่งแม่น้ำแดงถูกเปิดใช้เงียบๆ
ต่อให้เป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังยากที่จะจากไป
แล้วทำไมราชามารหนุ่มถึงได้ใจเย็นอยู่ได้
……
……
บรรยากาศในตำหนักหินก็กดดันอย่างยิ่ง เปลวเพลิงส่ายไหวในใจของชาวเผ่าปีศาจ
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังจุดสูงสุดด้านหน้าตำหนัก
แม้แต่ตอนนี้ มู่ฮูหยินก็ยังนิ่งเงียบ
ผู้นำเผ่าซื่อหรี่ตาลงช้าๆ ทำให้ดูราวกับใบหลิวทองที่พบเห็นได้ตอนบนของแม่น้ำแดง แต่ก็เหมือนกับดาบบางที่พบได้ในแดนใต้ของเผ่าปีศาจ
ตัวตนที่แท้จริงของมารหนุ่มทำให้พวกเขาตกใจอย่างมาก แต่ที่ทำให้เขาเป็นกังวลที่สุดก็คือสิ่งที่เกิดในตำหนัก
เขาคาดว่ามู่ฮูหยินจะเงียบ แต่ทำไมผู้นำเผ่าเซียงถึงได้เงียบเช่นกัน
มันเป็นไปได้จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นมันก็แย่ยิ่งกว่าที่เขากับเสี่ยวเต๋อคิดเอาไว้เสียอีก!
ในตอนนั้นเองแม่ทัพเผ่าปีศาจคนหนึ่งลุกขึ้นและตะโกนอย่างเคร่งเครียด “เหนียงเหนียง โปรดอนุญาตให้แม่ทัพผู้นี้สังหารศัตรู!”
คำพูดนี้ทำลายความเงียบในตำหนักหิน ทำลายบรรยากาศอันกดดัน เพลิงในใจก็ลุกโหมจนแทนจะกลายเป็นเพลิงเถื่อนที่แท้จริง
ขุนนางแม่ทัพและเหล่าผู้นำเผ่ามากมายเริ่มลุกขึ้นและตะโกนไปยังจักรพรรดินีที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุด
“ฆ่าเขา!”
“เหนียงเหนียงฆ่าเขา!”
เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังก้องไปทั่วตำหนักหิน แผ่กระจายไปบนแท่นสังเกตการณ์และไกลออกไป
ทั่วเมืองพระราชวังน่าจะสามารถได้ยินคำพูดนี้
ลึกเข้าไปในเทือกเขา ต้นไม้สวรรค์ทั้งเก้าเริ่มแผ่ปราณที่ร้อนรุนแรงยิ่งกว่าเดิมบางที่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าวิญญาณบรรพบุรุษกำลังโกรธ
มู่ฮูหยินยังนั่งเงียบอยู่บนตำแหน่งสูงสุด ไม่ตอบคำถาม
คนที่ตอบคำถามนี้เป็นราชามารเอง
แม้ว่าเสียงร้องให้ฆ่าเขาจะดังออกมาจากตำหนักครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า น้ำเสียงเรียบเฉย
“ทำไมเจ้าถึงต้องฆ่าเราราชัน เพราะความเป็นมาของราชันผู้นี้อย่างนั้นหรือ เพราะความแค้นพันปีระหว่างสองเผ่าอย่างนั้นหรือ ความแค้นพันปีเกิดจากความกดขี่ขมเหงและหยามหยันที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ของข้าทำกับเผ่าปีศาจ แต่มันเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าอายุยังน้อยและตอนนั้นก็ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องพวกนี้ไม่อาจนับเป็นความผิดของข้า”
เสียงร้องให้ฆ่าค่อยๆ เบาลง หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของแม่ทัพเผ่าปีศาจ
รอยยิ้มซับซ้อนปรากฏบนใบหน้าของราชามาร ยากจะบอกว่ามันเป็นการเย้ยหยันผู้อื่นหรือยิ้มเยาะตัวเอง
“ใช่ คนที่กดขี่พวกเจ้า หยามหยันพวกเจ้า เข่นฆ่าพวกเจ้าเป็นบิดาข้า ไม่ผิดหากจะพูดว่าบุตรต้องชดใช้แทนบิดา แต่พวกเจ้าดูเหมือนจะลืมไปหมดแล้ว พวกเจ้าเกลียดบิดาของข้าอย่างมาก และข้าก็เป็นคนที่สังหารเขาเอง ดังนั้นหากเปลี่ยนมุมมอง พวกเจ้าไม่ควรขอบคุณข้าหรอกหรือ”
……
……
บรรยากาศในตำหนักหินกดดันขึ้นอีกครั้ง เหมือนกับแสงหม่นมัว
นอกจากเสี่ยวเต๋อกับจินอวี้ลวี่ที่ไม่ปรากฏตัวอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน เหล่าคนสำคัญทั้งหมดของเผ่าปีศาจล้วนอยู่ตรงนี้แล้ว
พวกเขาสามารถตัดสินเรื่องทั้งหมดทั้งมวลของเผ่าปีศาจ
แต่ที่พวกเขาจะทำในวันนี้น่าจะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจ
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกังวลอย่างมาก มีผู้นำเผ่ากับขุนนางบางคนรู้สึกว่าต้องแบกภาระอันน่ากลัวและความสับสนอันไร้สิ้นสุด
ไม่มีใครพูดจาในตำหนักอันเงียบงันเป็นเวลานาน มีเพียงแค่เสียงลมหายใจเท่านั้น เงียบงันลึกลับ ลมหายใจหนักหน่วงดั่งขุนเขา
กลิ่นผลไม้ป่าและเทียนต้นไหวถูกกลิ่นเหงื่อและขนสัตว์กลบจนหมด
เทียนต้นไหวค่อยๆ ดับลงแต่ตะเกียงบนผนังหินยังไม่ถูกจุด มีแต่แสงอ่อนจางของไข่มุกราตรีที่ส่องต้องใบหน้ามากมายและสีหน้าที่เปลี่ยนไป
แสงสลัววูบวาบบนใบหน้ามู่ฮูหยิน มืดมิดราวราตรี
ผู้นำเผ่าเซียงยังคงนิ่งเงียบ ยากมองออกราวกับภูเขากลางความมืด
แผ่นกระดาษกว้างหลายจั้งลอยอยู่ในตำหนักหิน ดูราวกับเข็มขัดบางอย่าง
นี่คือหนังสือม้วนบางราชามารส่งเข้ามาในตำหนัก
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่พื้นผิวของมัน จากนั้นก็มีเสียงลมหายใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
นี่บ่งบอกถึงความกดดันตื่นเต้นและยังบอกถึงความโลภและทะเยอทะยาน
……
……
ราชามารยังเยาว์นัก คำพูดและการกระทำของเขาไม่อาจบอกว่าหลักแหลมแต่ก็จูงใจอย่างประหลาด
ไม่ว่าชาวเผ่าปีศาจจะเชื่อเขาหรือไม่ พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าเขานั้นเริ่มการเจรจานี้ได้อย่างตรงไปตรงมา
ความแค้นลึกล้ำดั่งมหาสมุทรของเผ่าปีศาจกับเผ่ามาร แต่เรื่องเศร้าที่ถูกเข่นฆ่าและหยามหยันนั้นเป็นเรื่องราวเก่าแก่พันปีแล้วในตอนนี้
วันนี้ไม่มีใครในเมืองพระราชวังที่ได้พบเจอกับยุคสมัยนั้นด้วยตัวเอง แม้ว่าความเกลียดชังยังอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่อาจลบเลือนได้
ต่อให้ไม่อาจลบเลือด มันก็แทบไม่เกี่ยวกับราชามารหนุ่มจริงๆ
แล้วพวกเขาสามารถทิ้งความแค้นเอาไว้และคิดถึงสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า
อย่างเช่นผลประโยชน์และความปลอดภัย
เงื่อนไขที่เผ่ามารเสนอมานั้นยอดเยี่ยมเกินไป
เผ่าปีศาจได้ประโยชน์มากมายเกินไป
นี่เกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้
แม้แต่ผู้นำเผ่าที่ขี้โมโหที่สุด แม่ทัพที่เกลียดชังเผ่ามารที่สุด ก็ทำได้แค่นิ่งเงียบต่อหน้าเงื่อนไขนี้
นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขายินดียอมรับข้อเสนอของเผ่ามาร แค่พวกเขากำลังหาทางตอบสนองที่ดีกว่า
ความจริงใจของเผ่ามารนั้นยากที่จะสงสัย
เพราะราชามารมายังเมืองไป๋ตี้ด้วยตัวเองและยังมาตามลำพัง
นี่หมายความว่าเขาสามารถถูกสังหารได้ทุกขณะ
ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้
ที่สำคัญ เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีรู้เรื่องนี้ตลอดเวลา บางทีนี่อาจเป็นการจัดการของนาง
สายตามากมายละจากแผนที่ของทุ่งหิมะและมองไปทางมู่ฮูหยิน
ตอนนี้เองที่เป้าหมายที่แท้จริงของพิธีสวรรค์พิจิตเผยออกมา
มีข่าวลือว่ามู่ฮูหยินตั้งใจจะแต่งองค์หญิงลั่วลั่วให้กับองค์ชายรองของดินแดนต้าซีเป็นแค่ม่านอำพราง
มู่ฮูหยินตั้งใจจะแต่งองค์หญิงลั่วลั่วให้กับราชามารหนุ่มตั้งแต่แรกแล้ว
เป้าหมายของการแต่งงานระหว่างสองราชสกุลย่อมหมายถึงการเป็นพันธมิตรระหว่างสองเผ่าพันธุ์
เหตุการณ์ใหญ่แบบนี้ย่อมต้องปกปิดจากเผ่ามนุษย์จนกว่าจะสำเร็จ ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั่น
แต่..ใต้ฝ่าพระบาทคิดเหมือนกันหรือเปล่า
แต่…พวกมันคือเผ่ามาร!
พวกเขาต้องลืมความแค้นในอดีตและเลือดที่นักรบของเผ่าต่างๆ ที่เสียไปในช่วงหลายปีนี้จริงหรือ
พวกเขาจะทรยศการร่วมมือกับเผ่ามนุษย์ที่สู้เคียงข้างกันมานานนับพันปีจริงหรือ
ผู้นำเผ่าและแม่ทัพมากมายไม่อาจยอมรับได้
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าตำหนัก
นี่คือผู้อาวุโสแห่งสภาผู้อาวุโส
ในสายตาพวกเขา มีแต่ผู้นำเผ่าเซียงที่อาวุโสที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในหมู่พวกเขาจึงจะสามารถนำพวกเขาทั้งหมดหยุดเรื่องนี้ได้