ตอนนี้ฉินอวี้โม่มีผลึกวิญญาณอยู่กับตัวสองก้อนแล้ว แม้จอมยุทธ์หลายคนที่อยู่รอบ ๆ จะมีความริษยา พวกเขาก็ไม่กล้าคิดร้ายใด ๆ กับนาง
ความแข็งแกร่งที่ฉินอวี้โม่แสดงให้เห็นเมื่อครู่ประจักษ์ต่อสายตาของพวกเขาแล้ว ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของนางสามารถกักขังได้แม้กระทั่งผู้ที่มีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา นับประสาอะไรกับพวกเขาที่คงจะทำได้เพียงหลับตารอความตายเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไม่มีข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และอีกสองคนก็เกินพอที่จะทำให้บรรดาจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราไม่กล้าท้าทาย
“เราจะทำอย่างไรต่อไป ?”
ซ่งหยางรู้สึกเคารพฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้นและเอ่ยถามถึงแผนการต่อไปของนาง
ผู้พิทักษ์ต้นไม้ของต้นไม้โลกกระจายตัวอยู่ในทั่วทั้งผืนป่าและผู้ที่สังหารมันก็จะได้ผลึกวิญญาณไปครอง ตอนนี้ฉินอวี้โม่มีผลึกวิญญาณสองก้อนและเยี่ยซีมีสามก้อน ส่วนจำนวนที่เหลือก็อาจจะถูกครอบครองไปแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะค้นพบผลึกวิญญาณเหล่านั้นอีกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกนางเท่านั้น
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่สนใจผลึกวิญญาณเหล่านั้นเท่าใดนัก สิ่งที่นางสนใจอย่างแท้จริงคือซากของต้นไม้โลกที่อาจจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับผลึกวิญญาณซึ่งจะช่วยให้เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกเจริญเติบโตขึ้นได้
“เราออกสำรวจไปรอบ ๆ และตามหามนุษย์ต้นไม้กันต่อเถอะ”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและตัดสินใจในที่สุด
หลายวันต่อมา นาง ซิวและซ่งหยางก็สำรวจไปทั่วซากปรักหักพังเพื่อตามหาตำแหน่งของมนุษย์ต้นไม้
กล่าวได้ว่าพวกนางนั้นโชคดีไม่น้อยและเก็บผลึกวิญญาณได้เพิ่มอีกหนึ่งก้อน อย่างไรก็ตาม ใกล้กับบริเวณของมนุษย์ต้นไม้ดังกล่าวก็ไม่มีซากของต้นไม้โลกอย่างที่คาดหวังไว้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกเกินเข้าใจ ในอดีตต้นไม้โลกหายสาบสูญไปหลังจากที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก มันจึงเป็นธรรมดาที่จะมีเศษซากหลงเหลืออยู่เพียงไม่มากนัก นางทราบดีว่าเพียงได้พบเศษซากสองคราก็ถือว่าเป็นความโชคดีมากแล้ว
หลังจากนั้น เวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ผ่านไปนี้ กลุ่มของฉินอวี้โม่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้นางได้พบกับอวิ๋นซื่อเทียน เซิ่งเซียวและฟู่อวิ๋นซิวแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีคนของตระกูลไป๋ด้วยเช่นกัน
“อวี้โม่ เจ้าเก็บผลึกวิญญาณมาได้กี่ก้อน ?”
อวิ๋นซื่อเทียนจับมือฉินอวี้โม่และนำผลึกวิญญาณสองก้อนมาวางไว้ในมือซึ่งมาจากมนุษย์ต้นไม้สองตนนั่นเอง
“สามก้อน”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางปิดบังความจริงจากอวิ๋นซื่อเทียนและหยิบผลึกวิญญาณทั้งสามก้อนออกมา
“เจ้าชนะข้าอีกจนได้”
อวิ๋นซื่อเทียนยื่นผลึกวิญญาณทั้งสองก้อนของตนให้กับฉินอวี้โม่ขณะกล่าวชมพร้อมรอยยิ้ม
“ผลึกวิญญาณห้าก้อนถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพวกเราได้มากแล้ว ไม่ว่าขุมกำลังอื่น ๆ จะคิดทำสิ่งใด เราก็มีสิทธิ์มีเสียงมากพอ”
ผลึกวิญญาณมีจำนวนรวมอย่างน้อยสิบสองก้อนและตอนนี้พวกนางครอบครองมาเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ซึ่งผู้ที่ต้องการอัญเชิญสมบัติของต้นไม้โลกจะต้องขอความร่วมมือจากพวกนางเช่นกัน หากคนเหล่านั้นคิดที่จะต่อสู้ พวกนางก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“ทุก ๆ คน ทุกคนคงจะทราบเกี่ยวกับซากปรักหักพังแห่งนี้แล้ว หากอยากจะอัญเชิญสมบัติสุดท้ายของต้นไม้โลกออกมา เราต้องรวบรวมผลึกวิญญาณให้ได้อย่างน้อยสิบสองก้อน ตอนนี้พวกข้ามีสามก้อนแล้วและส่วนที่เหลือก็กระจายอยู่ในมือของทุกคน ข้าขอเสนอให้ทุกคนนำผลึกวิญญาณออกมาเพื่ออัญเชิญสมบัตินั้นด้วยกัน ไม่ว่าสมบัตินั้นจะเป็นสิ่งใด เมื่อถึงเวลานั้น เราจะแข่งขันแย่งชิงมันอย่างยุติธรรม”
ไม่ไกลนัก เยี่ยซีเหาะขึ้นไปกลางอากาศท่ามกลางฝูงชนและกล่าวเสียงดังฟังชัด
ตระกูลเยี่ยเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาคนที่เข้าร่วมการสำรวจซากปรักหักพังครานี้ เพราะเหตุนั้น คนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าคัดค้านข้อเสนอของพวกเขา
“ตระกูลไป๋ของเรามีสองก้อน”
ไป๋เสี่ยวหลงกล่าวออกมาเช่นกัน พวกเขาก็โชคดีพอสมควรและสังหารมนุษย์ต้นไม้สองตนได้สำเร็จก่อนที่จะครอบครองผลึกวิญญาณทั้งสองก้อนมา
“พวกเราก็มีสองก้อน”
ตระกูลหนิงกล่าวออกมาเช่นกันและพวกเขาก็โชคดีที่พบผลึกวิญญาณสองก้อน
ผลึกวิญญาณอีกก้อนก็อยู่ในมือของจอมยุทธ์อิสระผู้มีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราและถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์อิสระ เพราะเหตุนั้นจึงมิใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้ผลึกวิญญาณมาครอง
อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองฝู่ฮว๋านั้นไม่ได้เข้าร่วมการสำรวจซากปรักหักพังในครานี้และดูแลความเรียบร้อยของสถานการณ์อยู่ที่โลกภายนอก
“นำผลึกวิญญาณทั้งหมดมาให้ข้าก่อนเถอะ”
เยี่ยซีกวาดสายตามองคนเหล่านั้นและกล่าวเพื่อให้พวกเขานำผลึกวิญญาณมารวบรวมไว้ที่ตน
“ไม่ต้องรีบร้อนไป เราจะหารือข้อตกลงกันก่อนและจะมอบให้กับตระกูลเยี่ยในภายหลัง”
ไป๋เสี่ยวหลงและหัวหน้าคณะตระกูลหนิงมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนกล่าวออกไป พวกเขามิใช่คนเขลาและไม่มีทางมอบผลึกวิญญาณให้กับเยี่ยซีง่าย ๆ หากผลึกวิญญาณทั้งหมดอยู่ในมือของตระกูลเยี่ยและคนเหล่านั้นคิดตุกติกหรือโบกปัดความรับผิดชอบขึ้นมา นั่นอาจทำให้ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสูญเปล่าไปได้
“ผู้นำไป๋ ข้าลั่นวาจาไว้แล้ว หลังจากที่อัญเชิญสมบัติออกมาได้ เราจะแข่งขันแย่งชิงกันอย่างยุติธรรมอีกครั้ง แล้วเหตุใดท่านจึงไม่พอใจกับวิธีการของข้าเช่นนี้ ?”
เยี่ยซีมองไป๋เสี่ยวหลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่เล็กน้อย
“เหอะ แข่งขันแย่งชิงกันรึ ? คิดว่าเราโง่อย่างนั้นหรือ ? ตระกูลเยี่ยของเจ้ามีคนมากกว่าเราและพวกเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหนิง ต่อให้เราร่วมมือกัน เราก็อาจจะสู้ไม่ได้”
ไป๋เสี่ยวหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและไม่สนใจคำข่มขู่ของเยี่ยซีแม้แต่น้อย
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออัญเชิญสมบัตินั้นมา หากมันเป็นมิติพิเศษและมีเพียงน้อยคนที่จะได้เข้าไปได้ เราก็ต้องหารือกันก่อนว่าจะจัดสรรคนอย่างไร”
แม้ตระกูลไป๋จะเป็นเพียงตระกูลระดับสองของเมืองเซิ่งหลิง พวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเยี่ยมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลไป๋ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลระดับหนึ่งอีกตระกูลในเมืองเซิ่งหลิง กล่าวได้ว่าจุดยืนของพวกเขาก็สมดุลเท่าเทียมกับตระกูลหนิงและตระกูลเยี่ย นับประสาอะไรกับคนที่มาจากตระกูลสาขาของตระกูลเยี่ยเช่นนี้ ต่อให้คนจากตระกูลหลักมาที่นี่ด้วยตัวเอง ไป๋เสี่ยวหลงก็ไม่เกรงกลัว
การที่เขาไม่ได้แสดงตัวปกป้องฉินอวี้โม่และสหายก่อนหน้านี้ นั่นก็เป็นเพราะว่ายังมีวิธีการในการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่าอยู่และเขายังไม่ต้องการมีเรื่องกับตระกูลเยี่ยในตอนนี้ ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเกรงกลัวต่อเยี่ยซี
“ใช่ พวกเราจอมยุทธ์อิสระก็ไม่มีภูมิหลังเหมือนกับตระกูลใหญ่ ๆ หากไม่ตกลงกันก่อน เราก็มีแต่เสียกับเสีย เพราะฉะนั้น ข้าว่าเราควรจะหารือกันให้ได้ข้อตกลงเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้”
บุรุษวัยกลางคนผู้มีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดารากล่าวขึ้นมาเช่นกันก่อนชำเลืองมองฉินอวี้โม่และพยักศีรษะทักทายอย่างเป็นมิตร
เห็นได้ชัดว่านอกเหนือจากฉินอวี้โม่และสหาย คนอื่น ๆ ที่ได้ครอบครองผลึกวิญญาณล้วนเป็นคนของตระกูลใหญ่ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเพียงลำพัง เขาไม่มีทางเอาชนะตระกูลเหล่านั้นได้แน่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องการร่วมมือกับกลุ่มของฉินอวี้โม่เป็นการชั่วคราว
“ท่านจอมยุทธ์ผู้นี้กล่าวถูกแล้ว เราหารือเรื่องการจัดสรรจำนวนคนกันก่อนจะดีกว่า ข้าเองก็ไม่เชื่อมั่นในคนตระกูลเยี่ยเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเห็นด้วยกับวาจาของจอมยุทธ์อิสระผู้นั้นซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
“ดี ! ถ้าเช่นนั้นก็มาหารือกันก่อน !”
เยี่ยซีไม่พอใจเล็กน้อยทว่าเกือบทุกคนในที่แห่งนี้ก็มีความคิดเห็นตรงกันแล้ว เขาจึงไม่สามารถคัดค้านได้แม้จะไม่สบอารมณ์ก็ตาม เขาก็ทำได้เพียงแค่นเสียงเบา ๆ ในลำคอก่อนกล่าว “ผลึกวิญญาณหนึ่งก้อนของพวกเราตระกูลเยี่ยจะหมายถึงตัวแทนสามคน ส่วนพวกเจ้าจะใช้ผลึกวิญญาณหนึ่งก้อนสำหรับตัวแทนหนึ่งคน หากสมบัตินั้นปรากฏขึ้นโดยตรง…ผู้ที่ถูกเลือกจะแข่งขันแย่งชิงกันด้วยความแข็งแกร่งที่มี หากมันเป็นมิติพิเศษ…ตัวแทนเหล่านั้นก็จะได้เข้าไป”
เขาเสนอแผนการที่คิดไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ราวกับมั่นใจว่าฉินอวี้โม่และทุกคนจะตอบตกลง
“อะไรกัน ? ตระกูลเยี่ยของเจ้าใหญ่โตมากนักรึ ? หรือเป็นเพราะผลึกวิญญาณของพวกเจ้ามีค่ามากกว่าผลึกวิญญาณของเรา ?”
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจข้อเสนอของเยี่ยซีแม้แต่น้อยและกล่าวตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้า
“ใช่ ผลึกวิญญาณล้วนมีคุณค่าเหมือนกันทั้งหมด แล้วเหตุใดตระกูลเยี่ยจึงใช้ผลึกแต่ละก้อนเพื่อส่งตัวแทนได้ถึงสามคน ?”
บุรุษวัยกลางคนกล่าวแสดงความไม่พอใจเช่นกันและไม่ยอมรับข้อเสนอของเยี่ยซี
.
.