ภายในวงล้อมของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ คนตระกูลเยี่ยโล่งใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่
ตราบใดที่รอดชีวิตออกไปได้ การตอบคำถามเพียงไม่กี่คำถามก็มิใช่เรื่องที่ยากลำบากสำหรับพวกเขา
ในเวลานี้ ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพหยุดการโจมตีทั้งหมดแล้วและฉินอวี้โม่ก็ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนของตระกูลเยี่ย ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ข่ายอาคมอันทรงพลังนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฉินอวี้โม่อย่างสมบูรณ์แบบ ตราบใดที่พวกเขาคิดตุกติก มังกรทั้งเก้าจะโจมตีอย่างต่อเนื่องแน่นอนและนั่นหมายความว่าพวกเขาจะหมดสิทธิ์ในการเจรจาทุกอย่าง
“เจ้าต้องการทราบเรื่องใด ?”
หัวหน้ากลุ่มคนตระกูลเยี่ยยังคงระแวดระวังขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาหวาดหวั่นและไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป
“มิใช่คำถามที่ยากเกินไปหรอก พวกเจ้าวางใจได้เลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเยี่ยพบตัวทายาทที่หายตัวไปซึ่งก็คือคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ย ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ?”
นางไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองออกไปขณะแสร้งทำเป็นสงสัยใคร่รู้และเอ่ยถามสิ่งที่กังวลมากที่สุดในตอนนี้
“เจ้าหมายถึงเยี่ยเฟิงอย่างนั้นหรือ ?”
บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีและเห็นได้ชัดว่าเขาสืบทราบบางอย่าง
“ถูกต้อง ข้ากำลังถามถึงเยี่ยเฟิง บอกทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับเขามา หากปิดบังแม้แต่เรื่องเดียว อย่าคิดว่าเจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้อีก”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวต่อ
“เจ้าเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไรกัน ? เหตุใดจึงต้องการถามถึงเรื่องของเขา ?”
บุรุษผู้นั้นอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้และสังหรณ์ใจว่าฉินอวี้โม่อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเยี่ยเฟิง มิฉะนั้น นางจะสนใจคนที่มาจากดินแดนระดับต่ำอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร ?
เพียงแต่ตัวเขาไม่ทราบเกี่ยวกับเยี่ยเฟิงมากนัก อีกทั้งพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็ทรงพลังจนเกินไป เขาจึงไม่คิดว่านางจะมาจากดินแดนระดับต่ำเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคาดเดาได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น จะตอบคำถามของข้าแต่โดยดีหรือตาย เชิญเลือกได้เลย !”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับด้วยวาจาเยือกเย็น แน่นอนว่านางไม่มีทางบอกความจริงกับบุรุษผู้นี้
สีหน้าของหัวหน้าคนตระกูลเยี่ยบิดเบี้ยวไปทันที ทว่าตอนนี้เขาติดอยู่ในข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของฉินอวี้โม่ หากต้องการเอาตัวรอด เขาก็มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือให้ความร่วมมือกับฉินอวี้โม่แต่โดยดี
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ตระกูลเยี่ย ทว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ในตอนแรกผู้นำตระกูลเยี่ยพาตัวเขากลับมาได้สำเร็จ ทว่าหลังจากพบตัวเขาเพียงไม่นาน ท่านผู้นำก็ล้มป่วยและหมดสติไป จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา เจ้าก็คงจะทราบดีว่าความขัดแย้งภายในของแต่ละตระกูลเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และตระกูลเยี่ยก็เป็นเช่นเดียวกัน”
เขาไม่ปิดบังสิ่งใดและทราบดีว่าหากกล่าวข้อมูลเท็จแม้เพียงเรื่องเดียว มันจะเต็มไปด้วยจุดบอดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ทัน เพราะเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะกล่าวทุกอย่างตามความเป็นจริง
ฉินอวี้โม่เข้าใจได้ทันที เห็นทีสถานการณ์ของศิษย์พี่ในตระกูลเยี่ยอาจไม่ราบรื่นนักและข้าจะต้องไปที่จวนตระกูลเยี่ยเพื่อช่วยเขาโดยเร็วที่สุด !
“อย่างไรก็ตาม แม้ท่านผู้นำจะไม่ได้สติแต่ก็ยังมีผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลเยี่ยที่คอยปกป้องเขาอยู่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ตกอยู่ในอันตราย”
เขากล่าวข้อสันนิษฐานของตนออกมาเพื่อทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกพึงพอใจมากขึ้น ตราบใดที่คำตอบของเขาเป็นที่น่าพอใจ ฉินอวี้โม่ก็จะปล่อยพวกเขาไปและนั่นทำให้เขาตอบคำถามด้วยความสัตย์จริง
“เอาล่ะ ตอบอีกหนึ่งคำถามและข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวออกไป สำหรับรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจง นางจะสืบข้อมูลด้วยตัวเองเมื่อไปถึงที่เมืองเซิ่งหลิง การได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นในตอนนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว หากเซ้าซี้ถามมากจนเกินไป เกรงว่าคนเหล่านี้อาจนึกสงสัยบางอย่างและไม่กล้าเปิดเผยสิ่งใดอีก
“พวกเจ้ารู้จักสตรีนามว่าฉินเหยียนรึไม่ ?”
ในตอนนี้นางได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับฉินเฟิงแล้ว ทว่าเรื่องของฉินเหยียนยังคงมืดแปดด้านและไร้เบาะแส แม้คนตระกูลเยี่ยเหล่านี้จะมีสถานะที่ไม่สูงนัก พวกเขาก็คงจะทราบข้อมูลมากพอสมควรและอาจจะทราบว่าฉินเหยียนอยู่ที่ใด
“ฉินเหยียนรึ ?”
คนเหล่านั้นมองหน้ากันพลางใช้ความคิดทว่าไม่เคยได้ยินชื่อดังกล่าวมาก่อน
ทุกคนลงเอยด้วยการส่ายศีรษะโดยที่ไม่ได้คิดโกหกแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าแน่ใจรึว่าไม่รู้จักนาง ?”
ฉินอวี้โม่ไม่อยากเชื่อคนเหล่านี้แม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลเยี่ยพาฉินเหยียนมาที่นี่และผู้คนตรงหน้านี้ก็เป็นสมาชิกของตระกูลเยี่ย แล้วพวกเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อนั้นได้อย่างไร ?
“พวกเราไม่เคยได้ยินชื่อนี้จริง ๆ ตอนนี้ชีวิตของเราอยู่ในมือของท่านจอมยุทธ์แล้ว เราจะกล้าโกหกได้อย่างไรกัน ?”
คนเหล่านั้นกล่าวอย่างจนปัญญา หากเคยได้ยินชื่อนั้น พวกเขาก็จะบอกตามความจริงและไม่กล้าโกหกฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นในตระกูลเยี่ยของพวกเจ้ามีบุรุษนามว่าเยี่ยซาอยู่รึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่เคยนึกสงสัยในตัวตนของเยี่ยซามาก่อน ทว่าตอนนี้ทราบแล้วว่าฉินเหยียนไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลเยี่ย นางจึงสังหรณ์ใจว่าจะต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน หากไม่ได้ไปที่ตระกูลเยี่ย แล้วฉินเหยียนจะไปที่ใด ?
“เยี่ยซา ? เขาออกไปทำภารกิจเมื่อหลายปีก่อนและหายตัวไปตั้งแต่ตอนนั้นมิใช่รึ ?”
หัวหน้ากลุ่มคนตระกูลเยี่ยยังไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าใครคนหนึ่งซึ่งเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับเยี่ยซาอดกล่าวขึ้นไม่ได้
เมื่อหลายปีก่อน เยี่ยซานำคณะคนตระกูลเยี่ยจำนวนหนึ่งออกไปทำภารกิจและพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ทราบว่ามันคือภารกิจใด อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไป เยี่ยซาไม่เคยกลับมาที่ตระกูลเยี่ยอีกเลย คณะศิษย์ที่เดินทางไปกับเขาก็ล้วนหายตัวไปเช่นกันและไม่มีใครทราบว่าพวกเขาหายไปที่ใด
เดิมทีเยี่ยซามิใช่คนที่โดดเด่นมากนักในตระกูลเยี่ยและการหายตัวไปของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่สนใจมากจนเกินไป
ในช่วงเวลานั้น ทุกคนในตระกูลเยี่ยต่างก็จดจ่อความสนใจไปที่ฉินเฟิงผู้ซึ่งกลับมาที่ตระกูลหลังจากหายสาบสูญไปนาน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญกับการหายตัวไปของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่โดดเด่น เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนก็ได้ลืมเลือนเกี่ยวกับเยี่ยซาและคณะไปแล้ว
การที่บุรุษผู้นี้จดจำได้ก็เป็นเพราะเขาสนิทสนมกับเยี่ยซาพอสมควร มิเช่นนั้น เกรงว่าเขาเองก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน
“หายตัวไปงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นทันทีและความกังวลก่อตัวในหัวใจ
แรกเริ่มเดิมที ฉินเหยียนตัดสินใจติดตามเยี่ยซาและคณะออกจากดินแดนมหาเทพเพื่อเดินทางมาที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากเดินทางมาถึงที่ตระกูลเยี่ย ฉินเฟิงจะต้องปกป้องนางและไม่ปล่อยให้เกิดอันตรายใดอย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าเยี่ยซาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
และไม่เพียงแต่เยี่ยซาเท่านั้น ทว่าทุกคนที่เดินทางไปกับเขาก็ล้วนหายตัวไปเช่นกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าฉินเหยียนก็ต้องหายตัวไปกับพวกเขาด้วย…
ศิษย์พี่คงจะไม่ทราบเลยว่าพี่สะใภ้ตามเยี่ยซามาที่ดินแดนนี้แล้ว หากเขาทราบละก็…เรื่องคงจะยุ่งวุ่นวายกว่านี้เป็นแน่…
ฉินอวี้โม่คาดเดาในใจแล้วว่าการหายตัวไปของฉินเหยียนน่าจะเกี่ยวข้องกับแผนการสมคบคิดบางอย่าง ทว่านางยังไม่ทราบเกี่ยวกับขุมกำลังในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มากนักและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเป็นแผนการของผู้ใด เพราะเหตุนั้น ตอนนี้นางต้องหาทางไปที่เมืองเซิ่งหลิงโดยเร็วที่สุดเพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงจะตัดสินใจเตรียมความพร้อมตามความเหมาะสมได้
“เข้าใจแล้ว พวกเจ้าไปได้”
นางสลัดความกังวลใจออกไปในขณะที่สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม จากนั้นนางก็โบกมือเล็กน้อยเพื่อทำให้ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพสลายหายไปและปล่อยคนตระกูลเยี่ยออกไปได้
“ข้าขอแนะนำเจ้าไว้ หากพวกเจ้าพบกับนายน้อยเยี่ยซี ทางที่ดีที่สุดคือการหาทางหลบเลี่ยงออกไป แม้พวกเจ้าจะแข็งแกร่งมาก พวกเจ้าก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ ผู้ติดตามของนายน้อยทรงพลังกว่าพวกเรามากนัก หากต้องประจันหน้ากัน พวกเจ้าไม่มีโอกาสเอาชนะอย่างแน่นอน”
ก่อนจากไป บุรุษผู้เป็นหัวหน้าก็อดกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ไม่ได้
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด แม้จะต่อสู้กันอย่างดุเดือดก่อนหน้านี้และถูกฉินอวี้โม่ข่มขู่ แต่เขากลับมีความคิดที่ต้องการจะผูกมิตรกับนาง อาจเป็นเพราะฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวจนเกินไปหรือเพราะมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ใจ เขาจึงรู้สึกว่าการผูกมิตรกับนางอาจเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเขา
“ขอบคุณมาก ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะกล่าวเตือนนางเช่นนี้
“อีกอย่าง…ตอนนี้นายน้อยเยี่ยซีมีผลึกวิญญาณสามก้อนแล้ว อีกไม่นานผู้ที่ถือครองผลึกวิญญาณทั้งหมดจะต้องมาพบเจอกัน เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องระวังตระกูลเยี่ยของเราไว้ให้มาก !”
หลังจากกล่าวจบ บุรุษผู้นั้นและคนตระกูลเยี่ยทั้งหมดก็หายไปจากตรงหน้าของฉินอวี้โม่ทันที
.
.