บทที่ 1381 เกี้ยวหกหลัง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

สำหรับหวังเป่าเล่อ หกปรารถนาของโลกาชั้นที่สองมีผู้ประสงค์ดีอย่างเจ้าปรารถนารส มีผู้ประสงค์ร้ายอย่างเจ้าปรารถนาเสียง แต่ไม่ว่าอย่างไร ศัตรูของทั้งหกปรารถนาก็คือเจ็ดอารมณ์

ดังนั้นจากการสรุปของเขา การติดต่อกับเจ็ดอารมณ์จะช่วยให้เขาเข้าใจโลกนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะทำให้เป้าหมายสูงสุดของเขาก้าวหน้าไปด้วย

“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา…” หวังเป่าเล่อพึมพำและยิ่งเร่งความเร็วไปยังเกี้ยวแดง เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะไปที่ใดกันแน่ และอยากค้นหาดูสักหน่อยว่าสิ่งที่ถูกสะกดอยู่ข้างใน…เกี่ยวข้องกับเจ้าแห่งสุขหรือไม่!

เวลาไหลผ่านไปช้าๆ ในค่ำคืนนี้บางทีอาจเป็นเพราะความแปลกประหลาดของเกี้ยวสีเลือด ตลอดทางที่หวังเป่าเล่อตามไปจึงไม่เจอสิ่งมีชีวิตแปลกๆ จากโลกปรารถนาเสียงเลย ราวกับว่าพวกมันสัมผัสถึงเกี้ยวแดงนี้ได้จึงพากันไม่กล้าเข้ามาใกล้

ขณะเดียวกันความเร็วของเกี้ยวก็เพิ่มขึ้นจนน่าอัศจรรย์ เพียงพริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกลโข หากไม่ใช่หวังเป่าเล่อที่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกันคงตามไม่ทันไปแล้ว

แต่แม้ความเร็วของเขาจะน่าทึ่ง ระดับความยากในการไล่ตามก็ยังสูงมาก หวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงไม่ให้มันหายไปจากสายตาและตามไล่หลังมันไปไกลลิบ

กระทั่งผ่านไปค่อนคืน เกี้ยวสีเลือดนั่นก็ไม่ได้หยุดที่ไหนอีก ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามันเดินหน้าไปอย่างไร้จุดหมาย เพราะเขาสัมผัสได้ว่าเกี้ยวหลังนี้ผ่านบริเวณเดิมไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง

ราวกับกำลังวนเป็นวงกลม

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเกี่ยวกับการสันนิษฐานของตน ขณะที่เขาไล่ตามไปพลางครุ่นคิดนั้นเอง จู่ๆ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็แข็งค้างทันที ในความมืดมิดตรงหน้าตอนนี้เกี้ยวสีเลือดได้ปรากฏแสงสีแดงเส้นหนึ่งขึ้น

ในไม่ช้าเมื่อแสงสีแดงนั่นเริ่มชัดเจน เกี้ยวหลังที่สองก็ปรากฏขึ้นตรงนั้น แต่ที่ต่างจากเกี้ยวที่มีมือซ้ายคือเกี้ยวหลังนี้ไม่มีแขนขายื่นออกมานอกม่านเลย

แต่ขณะที่หวังเป่าเล่อจ้องมองเกี้ยวอย่างใจจดใจจ่อ เขาก็สังเกตเห็นว่าข้างในเกี้ยวที่ม่านปลิวไปตามลมนั้นมีขาอยู่ข้างหนึ่ง!

มันคือขาของสตรีซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันควรจะน่ากลัวมาก แต่พริบตาที่เห็นมัน ในหัวหวังเป่าเล่อกลับมีความงามอันไร้ที่สิ้นสุดผุดขึ้นมาราวกับว่าขาข้างนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจนทำให้ทุกคนที่มองเห็นอดเข้าไปใกล้ไม่ได้

โชคดีที่กฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง กอปรกับคุณสมบัติของร่างต้นแบบทำให้หวังเป่าเล่อได้สติอย่างรวดเร็ว ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย

เพราะการปรากฏของเกี้ยวหลังนี้ได้ยืนยันข้อสันนิษฐานของหวังเป่าเล่อแล้ว

เขากำลังจ้องมองเกี้ยวหลังที่สอง มองดูเงาพร่าเลือนของมันตัดผ่านเกี้ยวหลังแรกไปและยังคงไล่ตามเกี้ยวหลังแรกต่อไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามหวังเป่าเล่อก็เห็นเกี้ยวหลังที่สาม

สีเลือดเหมือนกัน ศพผอมแห้งแบกเกี้ยวเหมือนกัน ทว่าที่ต่างกันคือ…ข้างในเกี้ยวมีขาอีกข้างหนึ่ง

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบ เขายังคงไล่ตามไปจนกระทั่งเห็นเกี้ยวหลังที่สี่และหลังที่ห้า…ในหลังที่สี่คือมือขวา ส่วนหลังที่ห้าคือลำตัวที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงเลือด

ไม่มีส่วนหัว

“ต้องมีส่วนหัวสิ ควรจะมีเกี้ยวหกหลังถึงจะถูก” หวังเป่าเล่อสีหน้าสับสน หลังจากสัมผัสเกี้ยวแดงเหล่านีติดต่อกัน พลังปราณแห่งสุขในร่างกายก็ยิ่งคึกคักขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อตัดข้อสันนิษฐานของตัวเองไปหลายข้อ เหลือเพียงคำตอบเดียว

“คนในเกี้ยวก็คือ…เจ้าแห่งสุข!”

“นางต่อสู้กับเจ้าปรารถนาเสียง เนื่องจากร่างกายนางเป็นของเจ็ดอารมณ์จึงมีคุณสมบัติไม่อาจทำลายได้…นางจึงถูกเจ้าปรารถนาเสียงแยกออกเป็นหกส่วน”

“แต่ละส่วนถูกวางไว้ในเกี้ยวสีเลือดเพราะตัวเกี้ยวคงจะเป็นของผนึกที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ด้วยวิธีนี้เจ้าแห่งสุขจึงถูกสะกดไว้อย่างสมบูรณ์”

“เพราะอย่างนี้แขนขาของเขาจึงสามารถสยบกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้”

“เพราะอย่างนี้แขนขาของเขาจึงกระตุ้นพลังปราณแห่งสุขของข้าได้”

“นี่ก็คือคำตอบ” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ คำตอบนี้สอดคล้องกับทุกอย่าง จนถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่ามันใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดแล้ว

เพราะเกี้ยวแดงปรากฏขึ้นแค่เวลากลางคืน และเวลากลางคืนก็เป็นเวลาของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเจ้าแห่งสุขถูกสะกดเป็นสองเท่า ถูกสะกดจากโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงและถูกสะกดจากเกี้ยวสีเลือดนี้ด้วย

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะหลุดพ้น…

ส่วนคนนอกนั้น เนื่องจากไม่มีทางสัมผัสกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้จึงยากที่จะเข้ามา ต่อให้จะทำลายความว่างเปล่าบุกเข้ามาก็ยากที่จะต่อสู้กับผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของโลกปรารถนาเสียง

“หากสุขแห่งเจ็ดอารมณ์ถูกสะกดไว้ที่นี่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ็ดอารมณ์คนอื่น…ไปอยู่ที่ไหน” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งชั่วยามฟ้าก็จะสว่างแล้ว หวังเป่าเล่อยังคงไล่ตามต่อไปเพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะหยุดอยู่ที่ไหนสักแห่งยามรุ่งสางมาถึง

อีกอย่าง เขาก็ยังไม่เห็นเกี้ยวหลังที่หกเลย

จากข้อสันนิษฐานของเขา เกี้ยวสีเลือดหลังที่หกที่ขังส่วนหัวไว้นั่นต่างหากที่เป็นจุดสำคัญที่แท้จริง

หวังเป่าเล่อตามไปเช่นนี้จนครึ่งชั่วยามสุดท้ายค่อยๆ ผ่านไป ยามที่ราตรีกำลังสลายไปและรุ่งสางเข้ามาแทนที่และทำลายทุกอย่าง ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ได้เห็น…เกี้ยวสีเลือดหลังที่หก!

เกี้ยวสีเลือดหลังที่หกลอยมาจากความว่างเปล่า สิ่งที่แบกมันอยู่ไม่ใช่ศพ หากเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตแต่ดวงตาไร้แวว พวกเขาสวมชุดคลุมสีดำแบกเกี้ยวเดินมาเงียบๆ

ทุกย่างก้าว ร่างกายของมนุษย์ทั้งสี่จะแห้งเหี่ยวลงทีละน้อยราวกับชีวิตพวกเขากำลังถูกเกี้ยวดูดไปเป็นสารหล่อเลี้ยงพลังสะกด

สิ่งที่ต่างจากเกี้ยวหลังอื่นคือด้านบนเกี้ยวหลังที่หก…มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่!!

ผู้ฝึกตนผู้นี้สวมชุดคลุมสีขาวสลับดำที่หวังเป่าเล่อเคยเจอ!

สือหลิงจื่อ!

หนึ่งในสองปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักเหอเสียน ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงระดับเดียวกับเยว่หลิงจื่อ!

เขาอยู่ในวัยกลางคน นั่งขัดสมาธิหลับตา แต่ข้อมือขวามีบาดแผลที่ดูไม่เหมือนถูกคนนอกทำร้าย มันเหมือนกับถูกตัวเองกรีดจนเลือดหยดติ๋งๆ ลงไปในเกี้ยวแดงหลังนั้น ทำให้เกี้ยว…ย้อมสีเข้มขึ้นและดูยั่วยวนใจขึ้น

ราวกับว่าเขากำลัง…ย้อมสีของมัน

พริบตาที่เห็นสือหลิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็ดวงตาหดแคบ ภาพเมื่อไม่กี่เดือนก่อนผุดขึ้นในหัว

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพบอีกฝ่าย ข้างในภูเขาสือหลิงจื่อเต็มไปด้วยรอยแผล แต่พลังปราณกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง คนผู้นี้มาพร้อมกับบทเพลงอันน่าทึ่ง เขากำลังเดินขึ้นไปยังยอดเขาทีละก้าว ศิษย์สำนักเหอเสียนทุกคนต่างก้มหัวคำนับให้

“สือหลิงจื่อ…” หวังเป่าเล่อชะงักกึก แต่สือหลิงจื่อที่นั่งหลับตาอยู่บนเกี้ยวหลังที่หกกลับค่อยๆ ลืมตามองหวังเป่าเล่ออย่างเย็นชา

รุ่งอรุณกำลังมาเยือน