บทที่ 1382 เสียงกระจอก

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เกี้ยวสีเลือดหลังที่หกหยุดลงทันทีที่สือหลิงจื่อลืมตา ผู้ฝึกตนทั้งสี่ที่แบกเกี้ยวต่างเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ดวงตาไร้แววจ้องเขม็งใส่หวังเป่าเล่ออย่างงงงวย

หวังเป่าเล่อก็ไม่ขยับ ประสานสายตากับสือหลิงจื่อ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

เขารู้ดีว่ากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของสือหลิงจื่ออยู่ในขั้นที่น่าตกใจ ทั้งสำนักเหอเสียนนอกจากเยว่หลิงจื่อและเจ้าสำนักผู้ลึกลับคนนั้นก็ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาแล้ว

แม้แต่เยว่หลิงจื่อก็เกรงว่าจะแค่สูสีเท่านั้น

หากเทียบกับระบบของเมืองปรารถนารส สือหลิงจื่อคงจะอยู่ระดับเดียวกับเจ้าสวาปาม แม้หวังเป่าเล่อจะมีกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าหากสู้กันแล้วไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในพริบตา ตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผย

แม้เขาจะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าแล้ว แต่การที่สามารถเข้าไปในราตรีแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้ก็ทำให้เขายุ่งยากเช่นกัน ถึงอย่างไรนี่ก็คือการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งในกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ไม่ใช่ผู้ฝึกตนทั่วไป

และที่สำคัญที่สุดคือรุ่งอรุณกำลังมาถึง ด้วยเวลาที่เหลือ การที่หวังเป่าเล่อจะฆ่าอีกฝ่ายในพริบตาได้คงเป็นเรื่องยาก

การเผชิญหน้ากันครั้งนี้เกินความคาดหมายของหวังเป่าเล่อ เขาไม่ได้คิดสู้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลือกที่จะถอยออกไปท่ามกลางสายตาบีบคั้นของสือหลิงจื่อ

หากหลีกเลี่ยงได้ เขาก็ยังไม่อยากสู้กับอีกฝ่ายตอนนี้

ทว่าในทันทีที่เขาก้าวถอยหลัง สือหลิงจื่อบนเกี้ยวสีเสือดก็เอ่ยปากขึ้น

“เลือดที่ใช้ระบายสีเกี้ยวไม่พอเสียแล้ว ในเมื่อเจ้าตามเกี้ยวมา เหตุใดจึงไม่มอบเลือดมาให้สักหน่อยล่ะ มันจะช่วยข้าได้เยอะเลย” สือหลิงจื่อจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับมองคนตาย

สำหรับเขาแล้ว ตัวตนของคนตรงหน้าจะเป็นใครไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักไหน เมื่อพบตนที่เป็นผู้ดูแลค่ายกลเกี้ยวสีเลือดแล้วจะหนีไปให้ไกลก็ได้ แต่หากตามมาไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใด เขาย่อมมีสิทธิ์ตัดสินเป็นตาย

นี่คือกฎที่ถูกบัญญัติไว้ในสามสำนักใหญ่และเต๋าจื่อทั้งหมด

เกี้ยวสีเลือดมีเจ้าแห่งสุขถูกสะกดอยู่ข้างใน เรื่องนี้เขาย่อมรู้แน่นอน แท้จริงแล้วเต๋าจื่อทั้งหกของสามสำนักใหญ่ล้วนทราบเรื่องนี้ดี และทราบด้วยว่าเจ้าปรารถนาเสียงเป็นผู้สะกดด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องการดูแลค่ายกลก็คือหน้าที่ของเต๋าจื่อทั้งหกของสามสำนักใหญ่ผลัดเปลี่ยนกันทำ

หากต้องการจะสะกดเจ้าแห่งสุขให้นาน พวกเขาก็จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนกันมาตรวจดูและปกป้อง การย้อมเลือดสดลงไปทำให้เกี้ยวทั้งหกหลังยังคงเป็นสีแดงสดอยู่เสมอ

และครั้งนี้ก็เป็นเวรของเขา เดิมทีเขาไม่ได้เต็มใจจะสละเลือดของตนอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อเจอกับคนที่แอบตามมาซึ่งดูเหมือนจะมีจุดประสงค์บางอย่าง อีกทั้งยังปกปิดตัวตนอีก สือหลิงจื่อจึงไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ

ดังนั้นทันทีที่เอ่ยออกไป สือหลิงจื่อก็สะบัดมือ จากนั้นบทเพลงหนึ่งก็ดังแว่วเข้ามา เพลงนี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร พริบตาที่มันดังขึ้นก็ทำให้ราตรีรอบด้านบิดเบี้ยว ปั่นป่วนไปทั่วทุกสารทิศ ฟ้าดินดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจนเกิดการเปลี่ยนแปลง

บทเพลงของสำนักเหอเสียนเป็นแบบมีเนื้อเพลง เพียงแต่ระดับสือหลิงจื่อ แค่คำพูดของเขาก็เทียบเท่าเนื้อเพลงแล้ว เสียงดังก้องของเขาผสานเข้ากับดนตรีได้อย่างลงตัวจนเกิดเสียงสะท้อนไปรอบบริเวณราวกับเป็นเสียงคลอไปกับบทเพลงและก่อตัวเป็นพายุพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

ยามที่มันเข้ามาใกล้ข้างในพายุนั่นก็ดูเหมือนจะกลายเป็นอาวุธร้ายรูปร่างเหมือนดาบยาวและเสียงดนตรีก็เหมือนกับเสียงดาบในทันที สังหารไปพร้อมกับเสียงเพลงดาบอันรุนแรง

“บทเพลงนี้ชื่อว่าเพลงดาบ”

ในพริบตาที่ดาบยาวก่อตัวขึ้น สีหน้าหวังเป่าเล่อพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เทียบกับอีกฝ่าย ท่วงทำนองของผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินที่ถูกเขาฆ่าตายไปตอนนั้นก็เหมือนกับหิ่งห้อยไร้ค่าตัวหนึ่ง บทเพลงของสือหลิงจื่อตรงหน้าไม่ใช่แค่สมบูรณ์ แต่ยังสร้างเป็นรูปแบบของตัวเองแล้วด้วย

เมื่อพลังสังหารปะทุ ลมพายุก็ม้วนตลบไปยังหวังเป่าเล่อ ดาบแห่งบทเพลงที่ก่อตัวขึ้นในนั้นแทงเข้าที่หน้าอกหวังเป่าเล่อ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านและเซถอยหลัง เสื้อผ้าฉีกขาด กฎสวาปามในร่างกายเขาพลันแทรกซึมไปทั่วร่างกายและสลายไปอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านดาบเล่มนี้ ขณะเดียวกันคุณสมบัติของร่างต้นแบบก็ช่วยต่อต้านอีกแรง

นั่นทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก กลับกันยังใช้ประโยชน์จากการโจมตีนี้ถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว และท้องฟ้า…ก็เริ่มกลายเป็นสีขาวแล้ว

เมื่อเห็นว่ารุ่งอรุณกำลังมาถึง กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยและผนึกกลับเร็วเกินไป สือหลิงจื่อจึงไม่ทันสังเกตเห็น ทว่าเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังถือดาบของตน เขาก็แค่นลมหายใจออกมา นัยน์ตาเผยแสงประหลาด

“น่าสนใจนี่” พูดจบก็สะบัดมืออีกครั้ง ทันใดนั้นเพลงดาบก็ดังก้อง บทเพลงที่สองออกมาพร้อมกันโดยไม่ขัดแย้งกันแม้แต่น้อย และบทเพลงที่สองนี้ก็น่าพิศวงยิ่งกว่าเดิม มันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายมีดเล่มยาว

“เพลงที่สอง กวีมีด!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าอะไรคือบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง!

บทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจะประกอบด้วยบทเพลงที่สมบูรณ์หลายๆ บทเพลง แม้บทเพลงเหล่านี้จะไม่เหมือนกัน แต่แฝงด้วยความหมายที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน ดังนั้นหลังจากสร้างบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองแล้ว การปรากฏตัวของแต่ละบทเพลงติดต่อกันก็จะทำให้อานุภาพไปถึงระดับสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้เลยทีเดียว

“นี่ก็คือวิถีของข้า!” หวังเป่าเล่อดวงตาสว่างวาบ เขาเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มสว่าง กลางคืนเริ่มจางหาย จึงตัดสินใจสร้างหมอกเพื่อซ่อนตัวจากอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบบทเพลงของตน

จากนั้นก็ถอยหลังไปพร้อมสะบัดมือ ปล่อยท่วงทำนองของตนที่ชื่อว่าอิสรภาพที่ประกอบด้วยเสียงฉินโบราณหลายสิบตัวออกมา

“สำนักเหิงฉิน?” แทบจะในพริบตาที่ท่วงทำนองโบราณดังขึ้น สือหลิงจื่อก็สังเกตเห็นได้ในทันที เหยียดมุมปากดูถูก ก่อนจะกะพริบร่างจากเกี้ยวแดงตรงไปยังหวังเป่าเล่อ ขณะนั้นบทเพลงแห่งกวีมีดก็ปะทุชนกับท่วงทำนองโบราณของหวังเป่าเล่ออย่างล่องหน

ท่ามกลางบทเพลงกวีมีด ท่วงทำนองโบราณของหวังเป่าเล่ออ่อนแอหาใดเปรียบ ในชั่วพริบตามันก็แตกสลายไป ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหน้าตาบิดเบี้ยว และคำพูดต่อมาของสือหลิงจื่อก็ยิ่งทำให้สีหน้าของเขาดำทะมึน

“เสียงกระจอกๆ ก็ยังกล้าแสดงออกมาอีกหรือ”

ขณะที่กล่าวสือหลิงจื่อก็ก้าวมาข้างหน้า โบกสะบัดเพลงดาบและกวีมีด บทเพลงสมบูรณ์ทั้งสองผสานเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นพายุขนาดมหึมายิ่งกว่าเดิม ห่อหุ้มหวังเป่าเล่อราวกับดาบและมีดกำลังจะทำลายร่างกายและวิญญาณของเขาจนสิ้น

แม้ท้องฟ้าจะสว่าง แม้กลางคืนจะสลาย แต่ด้วยบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของสือหลิงจื่อก็ดูเหมือนว่าการสลายตัวของพื้นที่บริเวณนี้จะได้รับผลกระทบไปด้วย

คล้ายจะอยู่ในภาวะวิกฤตแล้ว แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายแม้แต่น้อย กลับกันคำพูดและการดูถูกทำนองนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนความฝันกำลังถูกเหยียบย่ำ ถึงอย่างไรทำนองอิสรภาพนี้ก็เป็นผลงานที่เขาภาคภูมิใจ ทว่าตอนนี้ตนกลับโดนเหยียบย่ำความภาคภูมิใจเหล่านั้น

“เสียงกระจอกรึ งั้นข้าจะให้เจ้าดูว่าอะไรที่เรียกว่าเสียงกระจอก!” หวังเป่าเล่อโกรธจัด ทันทีที่มือผนึกมุทรา อักขระเสียงที่ซ้อนทับกันกว่า 3,000 ตัวในร่างกาย…ก็ส่งเสียง

ฟู่!

………………………………………………