บทที่ 1099 เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,099 เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

การประลองรอบแรกจบลงครบทุกคู่

ปรากฏว่ามีหกสำนักได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

โฆษกประจำงานประลองอย่างถังกงเยวียนประกาศว่าการประลองรอบที่สองจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า

เมื่อการประลองรอบแรกจบลง เว้นแต่เพียงยอดฝีมือไม่กี่ท่าน ผู้เข้าร่วมประลองทุกคนล้วนสูญเสียพลังลมปราณและได้รับบาดเจ็บไม่ใช่น้อย ดังนั้นระยะเวลาสำหรับการพักฟื้นร่างกายเพียงสามวันจึงนับว่าไม่นานเลย

เหตุการณ์ที่โดดเด่นที่สุดในการประลองรอบแรก ย่อมหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่เม่ยหลินเอ่ยคำท้าสู้กับเซียวปิงต่อหน้ามือกระบี่จำนวนมาก

กล่าวได้ว่าการประลองรอบนี้ เม่ยหลินกับเซียวปิงย่อมต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือโดดเด่นมากที่สุด

หลายคนจึงตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างมือสังหารสุกรโลหิตเซียวปิงกับมือกระบี่สายฟ้าพิฆาตเม่ยหลินจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ

“เจ้าหมูพวกนี้ ข้าจะตั้งชื่อมันว่าปาป้า มาม่า เปเป้ แล้วก็จอร์จ”

“เปเป้? จอร์จ?”

ติงซานฉือขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “นับเป็นชื่อที่แปลกประหลาดยิ่งนัก”

“แปลกประหลาดแต่จำง่ายใช่ไหมล่ะขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสบายใจ

“แล้วแต่เจ้าเถอะ”

ติงซานฉือไม่อยากโต้เถียงกับเจ้าลูกเต่าน้อยเพียงเพราะเรื่องของชื่อสุกรอีกต่อไป

ชายชราเดินเข้าไปสำรวจดูร่างกายของเจ้าหมูวิเศษอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดมุ่นเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “ว่ากันตามหลักทฤษฎี นี่ก็ถึงช่วงฤดูแพร่พันธุ์ของหมูบินได้เหล่านี้แล้ว ทำไมพวกมันถึงยังไม่แสดงอาการกลัดมันกันอีกนะ?”

“พวกมันอาจจะเขินอายก็ได้ขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตอบอย่างขอไปที “ก็ท่านเล่นเอาแต่จ้องมองพวกมันอยู่ทั้งวันทั้งคืนเช่นนั้น พวกมันคงต้องการเวลาส่วนตัวบ้าง”

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?”

ติงซานฉือไม่รอให้ลูกศิษย์สุดที่รักของตนเองได้พูดคำใด ก็รีบกล่าวออกมา “ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็ต้องรีบผสมพันธุ์กันโดยเร็ว เพราะข้าอยากจะนำลูกหมูไปเร่ขายแล้ว”

“เรื่องนั้นจะไปยากอะไรขอรับ”

หลินเป่ยเฉินล้วงขวดหยกขนาดเล็กบรรจุผงอะไรบางอย่างออกมาจากด้านในอกเสื้อ เมื่อเขาเปิดจุกขวดออก เด็กหนุ่มก็โปรยผงที่อยู่ด้านในนั้นไปบนลำตัวของเจ้าหมูทั้งสี่

ได้กลิ่นหอมแปลกประหลาดโชยขึ้นมาเตะจมูก

ติงซานฉือทำจมูกฟุดฟิด สีหน้าแปรเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมาว่า “นี่คือยาปลุกอารมณ์ใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม

จังหวะนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าผู้คนก้าวเข้ามา

“กราบเรียนท่านเจ้าสำนัก ศิษย์พี่ฉุยจากสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วมารายงานว่า ท่านเจ้าเมืองมีคำสั่งเรียกตัวท่านเจ้าสำนักเข้าพบเพื่อปรึกษาหารืออะไรบางอย่างขอรับ”

มือกระบี่ชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาประสานมือรายงาน

ติงซานฉือรีบเดินพลังลมปราณยับยั้งฤทธิ์ของยาปลุกอารมณ์ที่ตนเองเผลอสูดดมเข้าไปเมื่อสักครู่ ก่อนจะพยักหน้าและเดินตามมือกระบี่ชุดขาวผู้นั้นออกไป

ในไม่ช้า เจ้าหมูทั้งสี่ตัวก็เกิดความเปลี่ยนแปลง

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางใช้ความคิด ในใจรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ดูเหมือนเขาไม่ควรตั้งชื่อให้กับสุกรเหล่านี้เสียแล้ว

เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ติงก็เลี้ยงพวกมันไว้เพื่อแพร่พันธุ์ขายลูก การตั้งชื่อให้แก่สัตว์เลี้ยงย่อมแสดงออกให้เห็นถึงความเป็นครอบครัวมากเกินไป…

ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมีชื่อเรียกเหมือนเดิมก็คงดีแล้วกระมัง?

หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกให้คนของสำนักกระบี่อมตะมาดูแลหมูเหล่านี้แทนตนเอง ก่อนที่เขาจะหมุนกายเดินออกมาจากเล้าหมู

แต่เดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว หลินเป่ยเฉินก็ตระหนักถึงความผิดปกติอีกหนึ่งอย่าง

แย่แล้วสิ

เมื่อสักครู่ ตอนที่เขาโปรยผงยาปลุกอารมณ์ใส่พวกหมู อาจารย์ติงได้ทำจมูกฟุดฟิดสูดดมพวกมันเข้าไปใช่หรือไม่?

แล้วอาจารย์…รู้ตัวหรือไม่?

เด็กหนุ่มได้แต่คิดด้วยความเป็นห่วง

เขาเดินออกมาที่ลานหน้าสำนัก พบว่าพวกของเซียวปิงและสองสาวรับใช้กำลังมายืนฝึกวิชาตามตารางประจำวันด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท

หลินเป่ยเฉินเปิดสัญญาณไวไฟโดยไม่ลังเล ก่อนจะเปิดเกม Lost Castle ในโทรศัพท์มือถือ และโยนผู้ติดตามทั้งสามของตนเองเข้าไประเบิดพลังในนั้นให้เต็มที่

หลังจากนั้น เขาก็กดส่งข้อความไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นามในแอปวีแชท

คราวนี้ เทพีจอมเจ้าเล่ห์ไม่ได้ผิดคำสัญญาอีกต่อไป นางตอบข้อความของเขามาอย่างรวดเร็วยิ่ง

‘การเตรียมพร้อมของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?’

หลินเป่ยเฉินส่งข้อความสอบถามเข้าประเด็น

เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบว่า ‘ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอแค่เจ้าได้ตำแหน่งเทพาจารย์เท่านั้น’

หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์มือถือและเดินกลับเข้าไปในบ้านพักเพื่อคิดหาวิธีทำให้เซียวปิงเป็นนายทหารผู้แข็งแกร่งที่สุดของเขาให้ได้

การประลองครั้งนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินได้ความคิดแปลกใหม่

เซียวปิงนับเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ ร่างกายแข็งแรงผิดมนุษย์มนาเพราะฝึกฝนวิชากระบี่เร้นกายมาตั้งแต่เยาว์ เนื้อหนังและกระดูกจึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าเพชรและทองคำ หากในอนาคตหลินเป่ยเฉินเผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันตรายใหญ่หลวง เขาก็แค่ต้องส่งเซียวปิงออกไปรับมือก่อนก็พอแล้ว

อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นถึงหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง เปรียบดั่งเป็นนักรบของเทพเจ้า ก็ไม่สมควรทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองอยู่แล้วกระมัง?

นอกจากนี้ เขายังมีอากวงเป็นผู้ช่วยตัวสำคัญ

ในเมื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เซียวปิงแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่ลืมที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อากวงเช่นกัน

ด้วยอากวงถือเป็นสัตว์อสูร ร่างกายจึงมีความแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์โดยกำเนิด เพียงกรงเล็กของมันก็นับเป็นอาวุธร้ายกาจที่สามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยังมีความเชื่องช้ามากเกินไปหากเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความอันตราย เพราะฉะนั้นถ้าเขาซื้อปืนยิงจรวด Type 69 ให้แก่เจ้าหนูอสูรสักกระบอก ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว

ทางด้านเฉียนเหมยกับเฉียนเจินล่ะ?

สองสาวรับใช้ผู้สวยงามอ่อนหวานเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินย่อมไม่ปล่อยให้ออกไปเผชิญหน้าอันตรายบ่อย ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาอาวุธพิเศษอื่นใดให้พวกนางเพิ่มเติม

เมื่อกลับเข้ามาถึงห้องนอน หลินเป่ยเฉินก็กระโดดขึ้นไปนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง

บนพื้นห้องกลาดเกลื่อนด้วยถุงเก็บสมบัติหลายสิบถุง แต่ละถุงล้วนเก็บสิ่งของที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหน้าตาประหลาด คัมภีร์ฝึกวิชายุทธ์ ไปจนถึงวัตถุเล่นแร่แปรธาตุที่หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร ของทุกอย่างนี้เป็นหลินเป่ยเฉินตรวจค้นได้จากบรรดาซากศพคนตายทั้งสิ้น

และส่วนใหญ่แล้วพวกมันก็ไม่มีประโยชน์กับเขาเลย

เนื่องจากพื้นที่เก็บไฟล์ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์มีหน่วยความจำเต็มแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องนำข้าวของเหล่านี้ออกมากองอยู่ข้างนอก

“ถ้าเอาไปโพสขายเป็นของมือสอง ไม่รู้ว่าจะมีคนสนใจซื้อบ้างหรือเปล่านะ?”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นมานั่งรวบรวมสิ่งของที่ดูน่าสนใจ ก่อนจะถ่ายรูปพวกมันเตรียมนำไปโพสขาย

ไม่ว่าขายได้เท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นกำไรทั้งนั้น

อีกอย่าง ข้าวของแต่ละชิ้นล้วนมาจากผู้คนสำนักใหญ่ ดังนั้น มันสมควรมีมูลค่าไม่ต่ำต้อย

แต่การขายของออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่าย

หลังจากนั่งถ่ายรูปสินค้าหลายร้อยชิ้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย ปวดหลังปวดเอวและสุดท้ายก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งถึงตอนเย็น อาจารย์อาอิ๋นซานเดินมาเคาะประตูห้องนอนเพื่อตามตัวให้ลงไปรับประทานอาหาร

“อาจารย์ยังไม่กลับมาอีกหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินไม่พบหน้าติงซานฉือที่โต๊ะอาหารค่ำ จึงอดถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้

นี่ก็เป็นเวลาเกือบสามชั่วยามแล้วที่ติงซานฉือไปเข้าพบท่านเจ้าเมือง หากเปลี่ยนเป็นเวลาในโลกยุคปัจจุบัน นั่นก็เท่ากับว่าผ่านไปได้หกชั่วโมงแล้ว

การฝึกซ้อมในเกม Lost Castle ของพวกเซียวปิงจบลงแล้ว แต่อาจารย์ติงก็ยังไม่กลับมา

อาจารย์มัวไปทำอะไรอยู่นะ?

“เสี่ยวฉุยจากสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วกลับมาส่งจดหมายแจ้งว่าอาจารย์ของเจ้าและตัวแทนคนอื่น ๆ อีกสี่คนกำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับการประลองรอบต่อไปด้วยความเคร่งเครียด เพราะฉะนั้น พวกเราสามารถรับประทานอาหารค่ำได้โดยไม่ต้องรอพวกเขา”

อิ๋นซานยิ้มแย้มและตักน้ำแกงใส่ถ้วยส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินยกน้ำแกงซดหมดในอึดใจเดียว

เขากล้าพูดได้เลยว่าอาจารย์อาอิ๋นซานมีฝีมือทางด้านการทำอาหารไม่แพ้ใครในใต้หล้า หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง

เซียวปิงกับอากวงก็รับประทานด้วยความเอร็ดอร่อยเช่นกัน

แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับประทานอาหารเสร็จสิ้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงผู้คนรวมตัวกันจับกลุ่มพูดคุยดังขึ้นด้านนอกสำนักกระบี่อมตะ

“หืม? เหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นนะเจ้าคะ”

เฉียนเหมยรีบผุดลุกขึ้นยืนและกระโจนออกไปดูเหตุการณ์ทันที เพราะกลัวว่าหากเชื่องช้าเกินไป อาจจะถูกหลินเป่ยเฉินหยุดยั้งเอาไว้ได้

หลังจากนั้นไม่นาน นางก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับเข้ามารายงานว่า “นายท่านเจ้าคะ เกิดเรื่องขึ้นแล้วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

“มีเรื่องอะไร?”

หลินเป่ยเฉินกำลังใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดเศษอาหาร ถามกลับไปอย่างไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่ “ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่?”

“เป็นเรื่องใหญ่มากเจ้าค่ะ”

เฉียนเหมยประสานมือรายงานด้วยความตื่นเต้น “สำนักกระบี่สนธยาที่พ่ายแพ้และเดินทางกลับไปก่อนหน้านี้ได้หวนคืนกลับมาที่เมืองไป๋หยุนอีกครั้ง พวกเขาอ้างว่าตนเองถูกลอบโจมตีระหว่างทางกลับสำนัก ทำให้ต้องสูญเสียลูกศิษย์ไปจำนวนมาก และที่สำคัญก็คือผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหกที่พ่ายแพ้ให้แก่เม่ยหลิน ก็ต้องเสียชีวิตไปในการลอบโจมตีครั้งนี้เช่นกัน…”

“ว่าไงนะ?”

อิ๋นซานอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

เซียวปิงกับอากวงหันมองหน้ากัน ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารของตนเองต่อไป

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ถูกลอบโจมตี? เป็นผู้ใดลอบโจมตี?”

เฉียนเหมยรายงานด้วยความกระตือรือร้น “บัดนี้ยังไม่ทราบตัวตนผู้ลงมือแน่ชัดเจ้าค่ะ แต่จากปากคำของสมาชิกสำนักกระบี่สนธยา พวกเขาพบว่าบรรดาผู้คนจากสำนักกระบี่กังวาน และตัวประหลาดเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาซึ่งเดินทางกลับไปก่อนหน้านี้ได้นอนทอดร่างกลายเป็นซากศพระหว่างทางเช่นกัน ทุกสำนักที่พ่ายแพ้ตกรอบการประลองต่างก็ถูกลอบโจมตีระหว่างเดินทางกลับ ทุกคนประสบเคราะห์กรรมน่าอนาถ ไม่มีผู้ใดรอดพ้นความตายเลยสักชีวิตเดียว”

หลินเป่ยเฉินกลับมามีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังในทันที

เรื่องนี้ต้องมีใครบางคนบงการอยู่เบื้องหลังแน่นอน

ก่อนหน้านี้ เพียงเพื่อโค่นล้มวิหารเทพีกระบี่ เว่ยหมิงเฉินและเทพแห่งวิหารเฉียนเกายังสามารถร่วมมือกันสังหารผู้คนเป็นผักปลา

และการประลองในครั้งนี้ก็มีตำแหน่งเทพาจารย์เป็นเดิมพัน มีใครบ้างไม่อยากครอบครองตำแหน่งเทพเจ้า?

บางทีนี่อาจเป็นฝีมือของเว่ยหมิงเฉินอีกครั้งก็เป็นได้

“พวกเราออกไปดูกันเถอะ”

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจออกไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม