บทที่ 1100 ชนชั้นธรรมดา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,100 ชนชั้นธรรมดา

หลินเป่ยเฉินเดินออกไปหาข้อมูลด้วยตนเอง

เฉียนเหมยกล่าวได้ถูกต้อง เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ

จากปากคำของคนจากสำนักกระบี่สนธยา ศัตรูที่มาลอบโจมตีมีกำลังคนไม่มาก แต่ทุกคนล้วนเป็นระดับยอดฝีมือ พวกมันสวมใส่หน้ากาก เงียบงันไม่ส่งเสียง โจมตีโดยการใช้อาวุธลับและยาพิษ แต่อานุภาพในการสังหารกลับโหดเหี้ยมอำมหิต ซากศพแหลกสลาย คนตายไร้ร่างหวนคืน

สำหรับการประลองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ยอดฝีมือของสำนักกระบี่สนธยาไม่ได้ทุ่มเทพละกำลังของตนเองออกมาทั้งหมด ระหว่างการเดินทางกลับ พวกเขาจึงยังเหลือพลังพร้อมต่อสู้อยู่อีกหลายส่วน แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายอดฝีมือของสำนักทุกคนจะต้องถึงแก่ความตายในชั่วพริบตา นับเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงของสำนักกระบี่สนธยาแล้ว

สุดท้าย กว่าจะสามารถหลบหนีกลับมาที่เมืองไป๋หยุนได้สำเร็จ สำนักกระบี่สนธยาก็ต้องพลีชีพผู้มีพลังขั้นเซียนของตนเองไปถึงแปดคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีขั้นเซียนระดับสี่รวมอยู่ด้วย

และสิ่งที่น่าแปลกใจไปมากกว่านั้นก็คือ ระหว่างทางที่ผู้คนสำนักกระบี่สนธยาหลบหนีกลับมาที่เมืองไป๋หยุน กลุ่มคนร้ายก็ไม่ได้ไล่ตามมาลอบสังหารพวกเขาอีกเลย

หากพวกมันไม่ล่าถอยกลับไป เกรงว่าวันนี้คงไม่มีสำนักกระบี่สนธยาเหลืออยู่อีกแล้ว

“ข้างทางข้าเห็นศพของพวกมนุษย์ปักษานอนตายอยู่เกลื่อนกลาด คำนวณดูด้วยตาเปล่าคงไม่ต่ำกว่า 38 ศพ นั่นเท่ากับว่าพวกมนุษย์ปักษาที่หลบหนีไปจากเมืองไป๋หยุน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลยสักตัวเดียว”

“และผู้คนจากสำนักกระบี่กังวานก็เสียชีวิตทั้งหมดเช่นกัน”

“เช่นเดียวกับผู้คนจากสำนักกระบี่กระดูกขาวและสำนักกระบี่พลัดถิ่น พวกเขาล้วนแต่ตกตายไม่เหลือรอด”

“สรุปได้ว่าทุกสำนักที่ตกรอบแรก ระหว่างการเดินทางกลับ พวกเขาก็ถูกลอบโจมตีระหว่างทาง จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตหมดสิ้น”

เหล่านี้คือข้อมูลที่หลินเป่ยเฉินรวบรวมมาได้จากปากคำผู้รอดชีวิตของสำนักกระบี่สนธยา

พวกเขาทุกคนมีสภาพไม่ต่างจากนกน้อยผู้หวาดกลัว

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองไป๋หยุนอย่างรวดเร็ว

ทุกสำนักต่างตกตะลึง

เมื่อได้รับฟังข้อมูลเหล่านี้แล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีคนในเมืองไป๋หยุนสมรู้ร่วมคิดอย่างแน่นอน

แต่ที่พวกเขาไม่เข้าใจเลยก็คือเพราะเหตุใดคนร้ายถึงต้องสังหารกลุ่มคนที่ตกรอบด้วย?

ต้องไม่ลืมว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดนั้นคือกลุ่มคนผู้ตกรอบ ย่อมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในการประลองประจำปีนี้อีกต่อไป

ความปั่นป่วนเกิดขึ้นในเมืองไป๋หยุนโดยทันที

ผู้รอดชีวิตจากสำนักกระบี่สนธยาเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากบรรดาสำนักใหญ่ ผู้อาวุโสของพวกเขาเข้าพบมือกระบี่ระดับผู้นำของสำนักมหากระบี่และสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ

ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็ได้รับเทียบเชิญสีเงินใบหนึ่ง

นี่เป็นเทียบเชิญที่ถูกส่งมาจากลู่หวังเฉิน ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักมหากระบี่

เขาเชิญหลินเป่ยเฉินไปร่วมการประชุมที่หอเจ็ดดารา

ลู่หวังเฉินเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนร่างกายสูงใหญ่ ระดับพลังของเขามากล้นเหนือคนธรรมดา จึงเกิดข่าวลือจำนวนไม่น้อยเล่าขานว่าที่ลู่หวังเฉินมีร่างกายใหญ่โตและมีพลังมหาศาลเช่นนี้ ก็เพราะเขาได้รับเชื้อสายยักษ์มาจากบรรพบุรุษนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ ลู่หวังเฉินได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของการประลอง แต่แทบไม่เคยปรากฏกายต่อหน้าผู้คนมาก่อน

“ท่านพี่ ข้าเองก็ได้เทียบเชิญเช่นกัน ไม่ทราบสมควรไปดีหรือไม่?”

เซียวปิงโยนเทียบเชิญสีทองคำในมือเล่นพร้อมกับคิดว่าเทียบเชิญใบนี้น่าจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองได้สักหลายพันชั่ง

“ไปสิ มีเหตุอันใดที่พวกเราไม่สมควรไปด้วยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินก้มมองเทียบเชิญในมือของตนเองและหัวใจก็รู้สึกกระตุกวูบ “โดยเฉพาะเจ้า ไม่อยากไปรับประทานอาหารกับเครื่องดื่มที่หอเจ็ดดาราหรืออย่างไร?”

“อยากรับประทานสิขอรับ”

เมื่อเซียวปิงนึกถึงอาหารและเครื่องดื่มเหล่านั้นน้ำลายก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ไม่กี่อึดใจให้หลัง สองศรีพี่น้องร่วมสาบานก็มาถึงหอเจ็ดดารา

ปรากฏว่าพื้นที่โดยรอบโรงเตี๊ยมชื่อดังแห่งนี้ได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

คนของสำนักมหากระบี่สวมใส่ชุดเกราะสีเทาเข้มยืนประจำการอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วโรงเตี๊ยม

ผู้ที่มีเทียบเชิญเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่ด้านใน

และสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับเทียบเชิญ พวกเขาก็ยังมารวมตัวกันรอบ ๆ โรงเตี๊ยมด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เห็นได้ชัดว่าข่าวเรื่องการลอบสังหารคนของสำนักกระบี่สนธยานั้น สร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดามือกระบี่ที่เดินทางมารับชมการประลองในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

การปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินกับเซียวปิงดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้เป็นจำนวนมาก

ทั้งสองคนนำเทียบเชิญของตนเองออกมา

ผู้คุ้มกันที่เฝ้าประตูมีนามว่าเกาหลิงอวิ๋น เป็นคนของสำนักมหากระบี่ ซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับห้า

“คุณชายทั้งสองได้โปรดเชิญด้านใน”

เกาหลิงอวิ๋นรับเทียบเชิญมาตรวจสอบดู ก่อนผายมือนำทาง “บนเทียบเชิญมีหมายเลขโต๊ะของคุณชายแจ้งเอาไว้แล้ว พวกท่านสามารถเดินไปนั่งตามหมายเลขของตนเองได้ทันที และกรุณาอย่าเดินเพ่นพ่านเด็ดขาด”

เมื่อสองหนุ่มเดินเข้าสู่ด้านในโรงเตี๊ยม ก็มีคนของสำนักมหากระบี่อีกส่วนหนึ่งออกมาต้อนรับและนำทางไปยังที่นั่งของพวกเขา

หลินเป่ยเฉินได้รับเทียบเชิญสีเงิน ถูกนำตัวมานั่งอยู่โต๊ะใหญ่มุมร้าน ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับบุคคลอื่นอีกจำนวนสิบคน

ส่วนเซียวปิงได้รับเทียบเชิญสีทองคำ ถูกนำตัวไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ใจกลางห้องอาหาร นั่งร่วมโต๊ะกับบุคคลอื่นอีกสี่คน ซึ่งผู้ร่วมโต๊ะของเขาแต่ละคนต่างก็มีสถานะไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

สายตาของผู้คนจำนวนมากจ้องมองสลับกันระหว่างหลินเป่ยเฉินกับเซียวปิง

โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาพบเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน

เซียวปิงนั่งลงบนเก้าอี้ของตนเอง แต่แล้วเด็กหนุ่มร่างอ้วนกลับพบว่ามีผู้คนจำนวนมากกำลังจ้องมองไปที่พี่ชายร่วมสาบานของตนด้วยแววตาเหยียดหยามเย้ยหยัน

“หืม?”

ตอนนั้นเองที่เซียวปิงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองถูกจับแยกออกจากหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มร่างอ้วนมีสีหน้าตกตะลึงขณะลุกขึ้นยืน ส่งเสียงตะโกนว่า “ข้าจะไปนั่งกับพี่ชายข้า ข้าจะไปนั่งที่โต๊ะมุมร้านตัวนั้น”

“คุณชายเซียวได้โปรดใจเย็นก่อน”

คนพูดเป็นบุรุษผิวขาวสวมใส่อาภรณ์สีม่วง บนหน้าผากห้อยเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง เขานั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเซียวปิงและส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “โต๊ะตัวนี้มีไว้เพื่อชนชั้นยอดผู้กล้า ส่วนโต๊ะตัวนั้นมีไว้เพื่อชนชั้นธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตัดสินด้วยผลงานบนสังเวียนประลอง รอบที่ผ่านมาคุณชายเซียวสามารถเอาชนะพวกมนุษย์ปักษาได้ด้วยตัวเพียงคนเดียว ที่นั่งนี้จึงควรค่าต่อคุณชายเซียวแล้ว”

เซียวปิงหันกลับมาชำเลืองมองหน้าบุรุษหนุ่มอาภรณ์ม่วง “ท่านเป็นใคร?”

บุรุษหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าสำนักกระบี่ทรงกลด เซวียนหมิง”

เซวียนหมิงคือเจ้าสำนักหนุ่มรุ่นใหม่ของสำนักกระบี่ทรงกลด

ในการประลองรอบแรกที่ผ่านมา เซวียนหมิงปรากฏตัวขึ้นบนเวทีและอาศัยหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังขั้นเซียนระดับห้าและขั้นเซียนระดับหกได้อย่างราบคาบ แม้การแสดงฝีมือของเขาจะไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่าเม่ยหลินจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ แต่ก็นับเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นใหม่ที่ควรค่าต่อการจับตามอง

“ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”

เซียวปิงลุกขึ้นและกำลังจะเดินผ่านเซวียนหมิงตรงไปที่โต๊ะอาหารของหลินเป่ยเฉิน

เขาเคยแต่คอยยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉิน หลินเป่ยเฉินจะจัดการปัญหาทุกอย่างให้แก่เขา เว้นแต่เรื่องต่อสู้แล้ว ท่านพี่จะคอยเป็นด่านหน้าจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้แก่เซียวปิงเสมอ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มร่างอ้วนติดนิสัยชอบทำเรื่องราวอยู่เงียบ ๆ ทางด้านหลัง ไม่นิยมชมชอบการเสนอหน้าโดยไม่รู้ตัว

รอยยิ้มบนใบหน้าเซวียนหมิงสลายหายวับไปทันที

ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเมินเฉยใส่เขาเช่นนี้มาก่อน

“ช้าก่อน”

ใครคนหนึ่งส่งเสียงพูดขึ้นและยื่นมือออกมาขวางหน้าเซียวปิง

คนพูดเป็นชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดเกราะสีขาว ร่างกายผอมบาง ใบหน้าหล่อเหลา บนศีรษะปราศจากเส้นผม บริเวณบั้นท้ายมีหางสีขาวงอกยาวออกมาสามเส้น ปลายหางแต่ละเส้นมีความแหลมคมไม่ต่างจากคมกระบี่ อีกทั้งปลายหางยังสะท้อนประกายระยิบระยับต่อแสงไฟอีกด้วย

นี่คืออมนุษย์อีกหนึ่งสายพันธุ์

เขาคือสมาชิกจากสำนักกระบี่หางขาวผกผัน ซึ่งสามารถผ่านเข้าสู่รอบที่สองของการประลองได้อย่างเหนือความคาดหมาย

“ใครอีกล่ะเนี่ย?”

ใบหน้าอ้วนกลมของเซียวปิงแสดงความรำคาญใจออกมาโดยไม่ปิดบัง

“โต๊ะตัวนี้ต้องเป็นชนชั้นยอดผู้กล้าเท่านั้นถึงนั่งได้ ผู้เฒ่ามาจากสำนักกระบี่หางขาวผกผัน”

ชายวัยกลางคนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและปั้นหน้ายิ้มด้วยความจริงใจ “คุณชายควรรู้ไว้เสียเถิดว่าการได้นั่งโต๊ะตัวนี้ ถือเป็นเกียรติสูงสุดครั้งหนึ่งในชีวิตแล้ว อย่าให้ชนชั้นธรรมดาเหล่านั้นมาเปลี่ยนแปลงตัวตนของท่านเลย และมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้นจึงสมควรได้นั่งที่โต๊ะตัวนี้”

“ท่านพูดอะไรของท่านเนี่ย?”

เซียวปิงกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ “หากการได้นั่งโต๊ะตัวเดียวมันจะเป็นเกียรติต่อชีวิตถึงขนาดนั้น แล้วคนเราจะฝึกกระบี่ไปเพื่ออะไร?”

นี่คือคำถามที่คมคายเป็นอย่างยิ่ง

เป็นคำถามที่ยากต่อการหาคำตอบ

แม้แต่ไป๋เฟยฟ่านผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่หางขาวพกผัน ซึ่งมีความรอบรู้ทางด้านตำรับตำราบุ๋นไม่แพ้บัณฑิตคนใดในใต้หล้า บัดนี้ก็ถึงกับใบหน้ากระตุกเล็กน้อย และไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าตนเองสมควรตอบคำถามอย่างไรดี