หวังจือเช่อเป็นคนดังตัวจริงของต้าลู่
เขาเป็นมนุษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่เผ่าปีศาจ
ในการยกทัพขึ้นเหนือสู้กับเผ่ามาร เขาเป็นรองผู้บัญชาการของกองทัพร่วมมนุษย์และปีศาจ แต่ในความเป็นจริงเขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุด
ตอนที่พวกเขายังเด็ก ผู้นำเผ่าและแม่ทัพต่างก็เคยได้ยินพวกผู้เฒ่าเล่าเรื่องราวของเขามานับครั้งไม่ถ้วน
ผลงานของหวังจื่อเช่อในตอนนั้นทำให้เขากลายเป็นตำนานของยุค สร้างความหวาดเกรงและนับถือในใจพวกเขา
อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘เกรง’ บรรจุไว้ด้วยความเคารพและหวาดกลัว
มีแต่ตายแล้วจึงกลายเป็นตำนาน หากยังมีชีวิตมันก็คือแรงกดดัน เพราะสุดท้ายแล้วหวังจื่อเช่อก็คือมนุษย์
ยากที่คนในที่นี้จะเชื่อว่าซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงเสแสร้งแกล้งทำอย่างไท่กงเผ่าลู่กล่าวอ้าง หากมันเป็นกับดัก ก็ซับซ้อนเกินไป มีส่วนเกี่ยวข้องมากเกินไป แม้แต่การยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูก็ยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกับดักเท่านั้น ใครจะไปวางแผนสะท้านฟ้าเช่นนี้ได้ แม้แต่คนที่แข็งแกร่งแบบซางสิงโจวก็ไม่อาจ
แต่หวังจื่อเช่อยังมีชีวิตอยู่
หากเขาวางกับดักนี้เพื่อเผ่ามนุษย์ขึ้นมาเล่า
อากาศในตำหนักกดดันและอึดอัดทำให้ผู้นำเผ่าหมีขุ่นเคืองอยู่บ้าง เขากล่าวอย่างจริงจัง “หากเผ่ามนุษย์แข็งแกร่งอย่างที่พวกเจ้ากล่าว มีแผนที่น่าหวาดกลัวขนาดนั้น แล้วเจ้าคิดว่าเราจะพบกับการโจมตีแบบไหนหากเราทำลายพันธมิตร”
ไท่กงเผ่าลู่เย้ย “ตราบใดที่เราผูกมิตรกับเมืองเสวี่ยเหล่าได้ก็เชิญเผ่ามนุษย์ก็โมโหได้ตามใจ แต่พวกมันจะทำอะไรได้ อย่างมากพวกมันก็ส่งราชโองการมาประณามพวกเรา เว้นแต่พวกมันจะมีความกล้าพอจะโจมตีทั้งเราและเมืองเสวี่ยเหล่าพร้อมกัน”
มู่ฮูหยินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สงครามต้องใช้ความกล้า แต่เริ่มสงครามไม่จำเป็นต้องใช้ความกล้า มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ข้าไม่ชอบสงครามดังนั้นวันนี้ข้าจึงเสนอวิธีที่จะเลี่ยงภัยสงครามบนต้าลู่ นี่คือเหตุผลที่ข้าตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับเมืองเสวี่ยเหล่า”
คำพูดนี้ทำให้ตำหนักนิ่งเงียบยิ่งกว่าเดิม เหล่าผู้นำเผ่าและแม่ทัพที่เคยคัดค้านต่างก็เริ่มหวั่นไหว
ผู้นำเผ่าซื่อหรี่ตายิ่งกว่าเดิม ทำให้ยากจะบอกว่าพวกมันเป็นเหมือนใบหลิวทองหรือดาบบาง
เขารู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ มันยากที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ แต่เมื่อเขานึกถึงบทสนทนากับเสี่ยวเต๋อเมื่อคืนเขาก็รู้สึกว่าเขาได้แต่ยืนกราน
“ข้าเห็นความจริงใจของเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว”
เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่ฮูหยินแล้วถาม “แต่เผ่ามารจะเชื่อความจริงใจของเราได้อย่างไร แค่สัญญาเป็นพันธมิตรนั้นเชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อยในมุมมองของข้า”
มู่ฮูหยินมองกลับไปอย่างใจเย็นและตอบ “ข้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจเจตนาของพิธีสวรรค์พิจิต”
ผู้นำเผ่าซื่อสีหน้าไม่เปลี่ยนยามที่เขาตอบกลับไป “เราต้องให้องค์หญิงลั่วลั่วแต่งออกไปให้ราชามารหนุ่มอีกหรือ เราต้องเรียกมารว่าใต้ฝ่าพระบาทด้วยไหม”
นี่เป็นเรื่องที่เขาและเหล่าผู้นำเผ่ากับแม่ทัพกังวลที่สุด
หากยอมให้ราชามารแต่งกับองค์หญิงลั่วลั่ว นี่ไม่เท่ากับว่าหลังจากจักรพรรดิขาวกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ราชามารจะกลายเป็นจักรพรรดิของเผ่าปีศาจหรอกหรือ
มู่ฮูหยินมองไปที่ผู้นำเผ่าซื่ออย่างใจเย็นและตอบ “การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่ได้หมายความว่าเป็นการสืบทอดบัลลังก์”
การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองราชวงศ์เป็นเรื่องที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างพันธมิตร
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วในอดีต องค์หญิงเผ่าปีศาจมากมายที่เคยแต่งไปเมืองเสวี่ยเหล่า
ผู้นำเผ่า แม่ทัพและขุนนางในตำหนักพบว่าเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นี้ยอมรับได้มากขึ้น แต่คำพูดของมู่ฮูหยินก็ยังไม่แก้ปัญหาที่สำคัญที่สุด
ทั่วโลกรู้ว่าจักรพรรดิขาวกับมู่ฮูหยินมีลูกยาก ผ่านมาหลายปีพวกเขาก็มีลั่วลั่วเป็นลูกสาวแค่คนเดียว
หากองค์หญิงแต่ไปยังเมืองเสวี่ยเหล่าที่ห่างไกลและราชามารที่เป็นผู้ชนะในพิธีสวรรค์พิจิตไม่ได้สืบทอดบัลลังก์ แล้วใครจะเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป
มือของมู่ฮูหยินลูบท้องนางเบาๆ ตอนที่กล่าว “ย่อมต้องเป็นลูกชายของข้ากับใต้ฝ่าพระบาท”
เมื่อนางกล่าวสีหน้าไม่เปลี่ยนไป มันยังเย็นชาและยิ่งใหญ่แต่ตอนนี้ก็เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
ผู้นำเผ่าเซียงมีน้ำเสียงจริงจัง “ขอแสดงความยินดีกับใต้ฝ่าพระบาท ขอแสดงความยินดีกับเหนียงเหนียง”
ข่าวนี้ทำให้ชาวเผ่าปีศาจตกตะลึงจนพูดไม่ออก ตอนนี้เองที่คำพูดปลุกเขาให้ตื่นจากความมึนงงและเริ่มคำนับส่งเสียงอวยพรชื่นชม
ผู้นำเผ่าซื่อนึกถึงบทสนทนากับเสี่ยวเต๋ออีกครั้ง เขาอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ยามที่คิด ข้าทำเท่าที่จะทำได้แล้วแต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนจุดจบได้
ผู้นำเผ่าเซียงหันไปหาผู้คนภายในตำหนักแล้วถาม “มีใครอยากพูดอะไรอีกไหม”
ผู้นำเผ่าหมีกำไม้เท้าเหล็กด้วยมือสั่นเทา กระแทกมันกับพื้น
เสียงดับตุ๊บ แผ่นดินสะเทือนฝุ่นลอยฟุ้ง
เขาตาแดงก่ำยามที่จ้องไปที่มู่ฮูหยิน “ข้าไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็ยังค้าน”
ผู้นำเผ่าซื่อคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าก็ค้าน”
หลังจากนั้นไม่นานแม่ทัพเผ่าเหอที่มีชื่อเสียงเรื่องความกล้าก็ถอดหมวกออกและประกาศไม่สะดุ้งสะเทือน “ข้าคัดค้าน”
นายกเผ่าปีศาจที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เริ่มจัดพิธีสวรรค์พิจิต ลุกขึ้นกล่าวด้วยเสียงชรา “ข้าจะตกลงก็ต่อเมื่อได้พบกับใต้ฝ่าพระบาทด้วยตัวเอง”
“ข้าก็คัดค้าน”
“ข้าก็เช่นกัน”
ผู้นำเผ่าเซียงยังคงไม่หวั่นไหวแม้ว่าจะมีเสียงร้องดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ
มู่ฮูหยินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแวววาวไร้ซึ่งอารมณ์
นางประหลาดใจอยู่บ้างที่ยังมีเสียงมากมายคัดค้าน
แต่นี่ไม่สำคัญ
นี่เป็นโองการที่ประกาศจากทั้งนางและใต้ฝ่าพระบาท
ยิ่งไปกว่านั้นโองการนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำเผ่าเซียงที่เป็นผู้นำของสภาผู้อาวุโส
แล้วเสียงไม่กี่เสียงจะหยุดแม่น้ำใหญ่ไม่ให้ไหลสู่ตะวันตกได้อย่างไร
……
……
การโต้เถียงในราชสำนัก มีผู้นำเผ่า ขุนนางและแม่ทัพกว่าเกือบสี่ส่วนในที่ประชุมคัดค้านการเป็นพันธมิตรกับเผ่ามาร แต่โองการก็ยังประกาศออกมาอยู่ดี
มหาบัณฑิตแห่งศาลายวนจูที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ในจิงตูเมื่อร้อยปีก่อนได้เขียนโองการออกมาอย่างเป็นทางการ
ชาวเผ่าปีศาจที่โต้เถียงในบรรยากาศกดดันเป็นเวลานานเดินออกมาจากตำหนักหินเพื่อพักผ่อนสักครู่
จากนั้นพวกเขาก็เห็นราชามารหนุ่ม
ท้องฟ้าสีคราม ขอบของแท่นสูงเป็นเส้นบาง เขายืนอยู่ใต้เงาโดดเดี่ยวของต้นสาลี่
เขาถอดหมวกไม้ไผ่สานที่ขาดวิ่นแล้ว มันกองอยู่ที่เท้าของเขา แทบจะจมอยู่ใต้ดอกไม้ขาว
ใบหน้างดงามราว ขาวกับหยก เสื้อคลุมพลิ้วไหวในสายลมราวกับกำลังเหินบิน
ไม่มีสิ่งใดจะงดงามไปกว่าภาพนี้และคนผู้นี้
แม่ทัพคนบางคนมองเขาด้วยสายตาอาฆาต ราวกับจะบุกโจมตีได้ทุกขณะ
ผู้นำเผ่าบางคนมองเขาอย่างระมัดระวังราวกับจะหันหลังจากไปได้ทุกขณะ
ขุนนางบางคนฝืนยิ้มมองไปที่เขาราบกับจะคุกเข่าคำนับได้ทุกขณะ
ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกเช่นใด พวกเขาล้วนยอมรับว่าราชามารหนุ่มเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง
ราชามารยืนอยู่ตามลำพังในเมืองพระราชวังเผ่าปีศาจแล้วยังสุขุมเยือกเย็นอยู่ได้นับว่าน่าชื่นชมอย่างแท้จริง
เพลงประกอบพิธีดังมาจากแท่นวาฬร่วงด้านล่าง
บรรยากาศเหนือแท่นสังเกตการณ์ก็กลายเป็นภูมิฐานขึ้นมาในทันที
โองการพร้อมแล้ว
พิธีสวรรค์พิจิต การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์และการร่วมพันธมิตรกำลังจะประกาศอย่างเป็นทางการ
ประกาศต่อทั้งโลก
ในตอนนั้นเองเพลงประกอบพิธีการก็ปั่นป่วนเล็กน้อย
บางทีอาจเป็นเพราะเสียงฝีเท้าพวกนั้น
นางกำนัลและคนรับใช้หลายสิบคนมาถึงแท่นสังเกตการณ์
ลั่วลั่วเดินนำพวกเขามา
นางมองไปที่ราชามารใต้ต้นสาลี่
ราชามารมองไปที่นาง