ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ แต่แสงแดดไม่ร้อนแม้แต่น้อย ริมฝั่งแม่น้ำแดงอบอุ่นราวกับยังอยู่ในฤดูร้อน ลมเย็นพัดผ่านแท่นหินแต่ไม่ก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้ง แค่ทำให้กองดอกไม้ขาวสั่นไหว ทำให้มันดูเศร้าสร้อยยิ่งขึ้น
ลั่วลั่วยืนอยู่นอกบริเวณดอกสาลี่ ดูเดียวดายอยู่บ้าง
นางยังดูเหมือนเด็ก บนใบหน้างดงามไม่ปรากฏอารมณ์ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในตำหนักหิน เพลงประกอบพิธีที่ดังขึ้นอีกครั้งบนแท่นวาฬร่วงและโองการที่กำลังจะประกาศต่อโลก แม่ทัพและผู้นำเผ่าก็ยากจะสู้หน้านาง พวกเขาได้แต่ก้มหน้าและหันหนีไปเพื่อเลี่ยงสายตานาง
ลั่วลั่วดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้ นางเดินตรงไป รองเท้าหนังคู่น้อยไม่ก่อให้เกิดเสียงยามเหยียบย่ำดอกไม้ขาวที่อ่อนนุ่ม
แม้ว่ายังห่างจากต้นสาลี่อยู่ระยะหนึ่ง นางก็หยุด ร่างที่ใหญ่ราวกับภูเขาได้ขวางทางนางเอาไว้
นางเงยหน้าขึ้นและตระหนักว่าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่เอ็นดูนางมาตั้งแต่เด็ก
ผู้นำเผ่าเซียงมองนางไม่พูดอะไร แต่อารมณ์อันซับซ้อนปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา ยากที่จะเข้าใจเหมือนกับรอยย่นที่หางตา
ในดวงตามีทั้งความอบอุ่น รักใคร่ ขอโทษและขอร้อง
ลั่วลั่วเข้าใจความหมายของเขาและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่คาดคิดเลย”
ดวงตาของเขามีความรู้สึกขออภัยมากขึ้นยามที่กล่าว “นี่เป็นเจตจำนงของใต้ฝ่าพระบาท”
ใบหน้าเล็กๆ จ้องมองเขายามที่ลั่วลั่วตอบกลับอย่างสุขุม “แล้ว”
แท่นสังเกตการณ์เงียบอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากนางปรากฏตัว
แม้ว่าเสียงของนางจะแผ่วเบา มันก็ดังก้องในหูของคนสำคัญในเผ่าปีศาจทั้งหมด
ผู้นำเผ่าเซียงตัวแข็งไปเช่นเดียวกับไท่กงเผ่าลู่ ผู้นำเผ่าหลี่และทุกคนบนแท่นสังเกตการณ์
เพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าองค์หญิงที่น่ารัก รอบคอบและเชื่อฟังเสมอมาจะกล่าวคำพูดแบบนี้
‘แล้วอย่างไร’ แค่สองคำที่ฟังเหมือนกับคำถามง่ายๆ แต่ฟังแล้วเย็นชาเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
……
……
ลั่วลั่วเดินไปที่ต้นสาลี่
นางมองไปที่ราชามารหนุ่มและตระหนักว่าเขาหล่อทีเดียวกลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ไม่ได้ทำให้นางรำคาญมากนัก
สายตานางจับจ้องไปที่ผมของเขา เมื่อยืนยันว่าไม่มีเขา นางก็รู้สึกสนใจเล็กน้อยและรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
ในฐานะองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่สุดของเผ่าปีศาจ ไม่ว่าจะในจิงตูหรือเมืองไป๋ตี้ นางก็อยู่ใต้การคุ้มกันอย่างหนาแน่นที่สุด ทำให้นางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการสอบใหญ่ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสุสานเทียนซูไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์กับคนอื่น นางย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสวนโจว
ดังนั้นนางจึงไม่มีโอกาสได้พบกับมารที่แท้จริง
มีแค่ในคืนหนึ่งซึ่งไม่อาจลืมได้เมื่อหลายปีก่อนที่สำนักฝึกหลวงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
สุดท้ายมารที่มีเขาตกอยู่ในมือของโจวทง ดังนั้นเขาน่าจะตายไปนานแล้วใช่ไหม
ในตอนนั้นเขายังชำระกระดูกไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังยืนอยู่ตรงหน้านาง เขาไม่กลัวหรือไง
ดอกไม้ขาวร่วงลงจากกลิ้งและปลิวผ่านผมของนาง ปลุกนางให้ตื่นจากความเหม่อลอย
นางถามอย่างสงสัย “เจ้าคือราชามารอย่างนั้นหรือ”
ดวงตานางกระจ่างสดใสราวกับสายน้ำ ในนั้นมีอารมณ์ทั้งมวลให้เห็น
เห็นได้ชัดว่านางไม่มีความโกรธต่อราชามารหนุ่ม มีแค่ความสงสัยใคร่รู้
“ใช่”
ราชามารมองกลับไปอย่างสุขุมและกล่าวเสริม “เจ้าเรียกข้าว่าหนีลู่ก็ได้”
ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษในการหยุดระหว่างสองประโยคนี้
แต่หากชุดดำหรือผู้บัญชาการมารอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย
หากพวกชนชั้นสูงกับขุนนางในเมืองเสวี่ยเหล่าอยู่ที่นี่ พวกเขาอาจจะตกใจจนหมดสติไปเลยก็ได้
แม้ว่าจะมีความภาคภูมิใจซ่อนอยู่ในน้ำเสียงเฉยชาของเขา แต่ก็ยังบอกชื่อจริงกับนางแล้วยังบอกให้นางใช้เรียกเขาได้อีกด้วย
ลั่วลั่วไม่รู้กฎของราชวงศ์เผ่ามารแล้วก็ไม่สนใจด้วย
นางถามเขา “เจ้าอยากแต่งกับข้า”
ราชามารเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบ “ถูกต้อง”
ลั่วลั่วถาม “ทำไม”
เป้าหมายของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็ย่อมเป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างสองเผ่าพันธุ์
นี่เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว ราชามารก็เชื่อว่านางรู้ดี แต่เขาไม่ได้ตอบเช่นนี้
นี่เป็นเรื่องความยิ่งใหญ่ของราชันย์ ความถือตัวของราชสกุล และยังเป็นความเคารพที่มีต่ออีกฝ่าย
ดังนั้นคำตอบของเขายังคงเป็นรัก
เขากล่าวว่าเขารักนางมานานแล้ว
ลั่วลั่วย่อมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความจริง เช่นเดียวกับที่นางรู้เหตุผลที่แท้จริงที่เขาอยากแต่งกับนาง
แต่นางก็ยังถาม “แล้วเจ้ารู้จักข้ามาก่อนหรือ”
คนสำคัญมากมายรวมถึงผู้นำเผ่าเซียงรู้สึกว่าพวกเขารู้ว่าทำไมนางจึงยืนกรานถาม
นางอยากจะพิสูจน์ว่าราชามารโกหก
นางอยากจะพิสูจน์ว่าราชามารไม่รู้จักนาง ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจรักนางได้เป็นธรรมดา
แต่การพิสูจน์นี้มีความหมายอะไร
ในสายตาของพวกเขา องค์หญิงลั่วลั่วทำตัวเหมือนเด็กน้อย กัดปลายพู่กันคิดหาทางแก้ปัญหา
ต่อให้นางหาทางแก้ได้ ใครจะสนว่ามันถูกหรือผิด
“แน่นอน ข้ารู้จักเจ้าเพราะข้าชื่นชมเจ้า ข้าเชื่อว่าจะมีสักวันที่เจ้าคิดแบบเดียวกัน”
ราชามารมองนางอย่างสุขุมเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ลั่วลั่วพลันถอยไปหลายก้าว ยืนอยู่นอกดอกไม้ขาวก่อนที่จะมองกลับไปที่ต้นไม้นั่น
นางเอียงคอขมวดคิ้วราวกับหงุดหงิดอะไรบางอย่าง ดูน่ารักมากทีเดียว
ตรงหน้านางมีภาพวาดใบหนึ่ง
นอกระเบียงเป็นท้องฟ้าครามสดใส
ต้นสาลี่มีดอกสีขาวเล็กๆ เบ่งบานอยู่มากมาย
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้
ลมพัดมา ดอกไม้ร่วงราวสายฝน
พวกมันตกลงบนไหล่ของเขา
ตกลงบนเสื้อผ้าของเขา
เป็นภาพวาดอันงดงามจริงๆ
……
……
ราชามารไม่พูดอะไร ปล่อยให้นางจ้องมอง
เพราะเบื้องหน้าเขามีภาพวาดใบหนึ่ง
รอยยิ้มที่บางจนแทบมองไม่เห็นอยู่บนใบหน้า ประกายความอ่อนล้าและเบื่อหน่ายค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา
ลั่วลั่วดึงดูดความสนใจของเขาตั้งแต่ต้น เพราะนางไม่ได้แสดงความหวาดกลัวเหมือนกับสตรีสูงศักดิ์ในเมืองเสวี่ยเหล่า ไม่มีความเย่อหยิ่งเหมือนพวกพี่สาวของเขา นางมองเขาด้วยดวงตาสดใสและสีหน้าสงสัยเหมือนกับเด็กสาวทั่วไป
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจก็จางลง
โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นสีหน้าของลั่วลั่วในตอนนี้
นี่เป็นภาพวาดที่เขาวาดให้กับนาง
เขาเย้ยอยู่ในใจ ผู้หญิงก็คือผู้หญิงสุดท้ายแล้วก็ว่างเปล่าน่าขัน
ตอนที่เขาคิด เขาก็ได้ยินคำถามหนึ่ง
“เจ้าเห็นภาพวาดของข้าหรือ”
เป็นลั่วลั่ว
รอยยิ้มของราชามารจางไปตอนที่เขาตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”
“สามวันก่อน ข้าได้วาดภาพ”
ลั่วลั่วมองไปที่เขาและกล่าว “ข้าไม่คิดว่าจะเห็นมันเป็นจริงในวันนี้”
ราชามารเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ”
“แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ท่านแม่รู้ว่าข้าชอบภาพวาดนั่น ดังนั้นนางจึงให้เจ้าได้เห็น สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมากลางฤดูหนาว ต้นสาลี่ออกดอกเบ่งบานและเจ้ายื่นอยู่ใต้ต้นไม้… รายละเอียดพวกนี้ช่างยอดเยี่ยม ดอกสาลี่ช่างงดงามเช่นเดียวกับเจ้า เป็นภาพที่ดูเป็นธรรมชาติมาก แต่ท่านแม่กับเจ้าเข้าใจบางอย่างผิดไป”
“พวกเราเข้าใจอะไรผิดหรือ”
“ต่อให้ทุกอย่างจัดเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าก็ไม่มีทางเป็นคนในภาพวาดของข้าได้”
“ทำไม”
“เพราะข้าไม่ได้วาดภาพนี้ขึ้นจากจินตนาการ มันวาดจากสิ่งที่มีอยู่จริง”
ลั่วลั่วใช้สายตาสงสารมองเขา ราวกับนางมองดูเด็กน้อยแทะพู่กันคิดหาทางแก้ปัญหา
พวกเจ้าเชื่อว่าหาทางแก้ที่ถูกต้องได้แล้ว แต่ไม่มีใครเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำถามด้วยซ้ำ
ราชามารหน้าคล้ำยามที่ถามกลับ “คนในภาพวาดเป็นใคร”
ลั่วลั่วลืมตากว้างและตอบอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าเป็นอาจารย์ของข้าเอง”