ห้าปีที่ผ่านมา ลั่วลั่วได้รับจดหมายแค่ไม่กี่ฉบับเท่านั้น
ไม่มีที่ให้นางระบายความทรงจำและความกังวลในใจ โชคดีที่นางอาศัยอยู่ในพระราชวังหลีเป็นเวลานาน อยู่ภายใต้การสอนอย่างเป็นทางการของเหมาชิวอวี่ ดังนั้นจึงมีมิตรภาพกับมหามุขนายกอันหลินอยู่บ้าง นางจึงสามารถรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับเฉินฉางเซิงไม่น้อย
หลังจากเฉินฉางเซิงออกจากภูเขาหิมะและปรากฏตัวอีกครั้ง อันหลินก็เขียนจดหมายถึงนางอยู่บ่อยครั้ง
นางรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน
นางรู้ว่าเขาทำอะไรที่ศูนย์บัญชาการทหารซงซาน รู้ว่าเขาเดินทางผ่านเมืองฮั่นชิว รู้ว่าเขาไปยังเวิ่นสุ่ยและรู้ว่าเขาฆ่านักพรตไป๋สือที่หน้าอารามเต๋า
ต้นสาลี่ปลูกอยู่หลังประตูศักดิ์สิทธิ์ของอารามเต๋าเวิ่นสุ่ย ในคืนกลางฤดูหนาวเวิ่นสุ่ยกลับมีลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา ทำให้ต้นไม้ออกดอกเบ่งบาน
ลมเย็นพัดผ่าน ทำให้ดอกไม้สีขาวดอกน้อยนับไม่ถ้วนร่วงหล่น ตกลงบนไหล่ของเขาราวกับเกล็ดหิมะ
อันหลินบรรยายภาพนี้เอาไว้ในจดหมาย
ลั่วลั่วชอบมันนางจึงตั้งใจวาดภาพนี้ขึ้น พอเห็นแล้วนางก็ชอบมันมากขึ้นไปอีก
มู่ฮูหยินไม่รู้ว่ามีภาพนี้เกิดขึ้นในอารามเต๋าเวิ่นสุ่ย ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าทำไมบุตรสาวถึงได้รักภาพวาดนี้นัก
หลังจากครุ่นคิดนางก็สรุปเอาว่าบุตรสาวนางแค่กำลังเพ้อฝันเรื่องความรักกับพิธีสวรรค์พิจิตที่กำลังจะเกิดขึ้น
แม้อยู่กลางฤดูหนาว เมืองไป๋ตี้ก็ยังอบอุ่น จึงไม่ประหลาดนักว่าต้นสาลี่บนแท่นสังเกตการณ์จะออกดอกเบ่งบาน
ดังนั้นลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาจากริมแม่น้ำแดง ทำให้กิ่งไม้สั่นดอกไม้ร่วง ราชามารที่ขึ้นบันไดสู่เมืองพระราชวังและหยุดยืนอยู่ใต้ต้นสาลี่ อยู่ตรงจุดนั้นมาจนถึงตอนนี้
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อภาพวาดภาพหนึ่ง
เหมือนกับที่ลั่วลั่วกล่าว มันเป็นภาพที่งดงามจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นสาลี่ที่ออกดอกบานสะพรั่งหรือตัวราชามารเอง
มู่ฮูหยินจัดเตรียมไว้ได้อย่างประณีตบรรจงจริงๆ วิธีการก็ยอดเยี่ยม
น่าเสียดายนางยังล้มเหลวในการทำให้ราชามารเป็นคนในภาพวาด
เพราะภาพของลั่วลั่วมีคนผู้นั้นอยู่แล้ว คนที่ไม่อาจจะทดแทนได้
“เจ้าสามารถวาดภาพใหม่ด้วยทิวทัศน์ใดก็ตามที่เจ้าต้องการ”
ราชามารส่งยิ้มจางให้กับลั่วลั่ว
เรียกได้ว่าแม้แต่ในตอนนี้ ท่าทางของเขาก็ยังสมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย
‘ไม่ว่าเจ้าจะชอบภาพทิวทัศน์ใด ข้าก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของมัน’
เป็นประโยคบอกรักที่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
แต่มันก็ยังล้มเหลวในการทำให้ลั่วลั่วหวั่นไหว
นางตอบ “ขอโทษด้วย ทิวทัศน์ที่ข้าชอบล้วนไม่มีเจ้าอยู่ในนั้น”
ราชามารขมวดคิ้ว “แต่ต้องมีเขาอยู่อย่างนั้นหรือ”
ลั่วลั่วตอบ “ข้ารักลมฤดูใบไม้ผลิและเกล็ดหิมะ อาจารย์เป็นเกล็ดหิมะ เป็นลมฤดูใบไม้ผลิแต่เจ้าไม่ใช่”
คิ้วดำขลับของราชามารเลิกสูงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายเย็นเยียบลอยออกจากร่างยามที่ถาม “ทำไม”
ลั่วลั่วตอบ “เกล็ดหิมะกับลมฤดูใบไม้ผลิเป็นสิ่งที่สะอาดที่สุด อาจารย์ก็เป็นคนเช่นนั้นพอดี”
ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วแท่นสังเกตการณ์
ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง
ราชามารหัวเราะกับตัวเองและส่ายหน้า
ไม่มีความยินดีในดวงตา มีแต่ความเย็นเยียบ
ทิวทัศน์มักฝังอยู่ในใจของคนที่มองดูมัน
คนในภาพวาดย่อมเป็นคนที่อยู่ในใจ
หากเขายังพัวพันอยู่กับการสนทนานี้ ก็มีแต่จะเสียหน้าเท่านั้น
เขาเป็นนายของดินแดนมาร ผู้ได้รับความนับถือสูงสุดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ จะยอมรับความหยามหยันนี้ได้อย่างไรกัน
“ดังนั้นที่เซวียนหยวนผ้อกล่าวก็เป็นความจริง เจ้าแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับเฉินฉางเซิง”
ริมฝีปากของเขาโค้งไปด้วยความดูถูกตอนที่กล่าว “เจ้าเป็นศิษย์ของเขาแล้วเขายังกล้าล่อลวงเจ้า คนแบบนั้นยังเรียกว่าสะอาดได้อีกหรือ”
“เจ้าผิดอีกแล้ว ข้ารักอาจารย์ข้าจริงๆ แต่อาจารย์ข้าทำกับข้าเช่นศิษย์คนหนึ่งตลอดมา แล้วเขาทำผิดที่ใดกัน”
แท่นสังเกตการณ์ยังคงเงียบงัน มีแต่เสียงของลั่วลั่วเท่านั้น
คำพูดของนางกล่าวกับราชามาร กล่าวกับเหล่าคนสำคัญของเผ่าปีศาจโดยรอบ และกล่าวต่อทั้งต้าลู่
มือของนางกำแน่นตอนที่กล่าว น้ำเสียงสั่นเทา แต่ก็ไม่มีความละอายในน้ำเสียง มีแต่ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง
ราชามารกล่าวอย่างไม่สนใจ “การหลงรักอาจารย์ของตัวเอง เจ้ารู้จักคำว่าอายบ้างไหม”
ลั่วลั่วมองตาเขาและกล่าว “เจ้าฆ่าพ่อตัวเองกับพี่ชายทุกคน เจ้ายังมีสิทธิ์มาสอนข้าเรื่องความละอายอีกหรือ”
ราชามารยังคงหน้าเฉยแต่เพลิงโกรธได้เริ่มลุกไหม้แล้ว
เขาตระหนักว่าเด็กสาวตรงหน้าช่างประหลาดแต่มีเสน่ห์จริงๆ
ทุกคำที่นางกล่าวนั้นพูดอย่างจริงใจและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ แม้แต่ในยามที่นางจู่โจม
แต่ความจริงใจนี้เองที่ทำให้เขาโกรธ
คนอื่นนอกจากลั่วลั่วไม่อาจเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของราชามารในตอนนี้ได้
นางถามอย่างจริงใจและใคร่รู้ว่า “เจ้าอยากฆ่าข้าหรือ”
ราชามารตัวแข็งทื่อ ค้นพบลักษณะพิเศษอีกอย่างของเด็กสาวคนนี้
นางดูเหมือนจะมองเห็นอารมณ์ที่แท้จริงของคนข้างกายนางไม่ว่าจะปกปิดเอาไว้ได้ดีเพียงใด
แน่นอน นางสงสัยว่ามันจริงหรือเปล่า นางอยากรู้ว่าราชามารจะกล้าฆ่านางจริงหรือเปล่า
คำถามของลั่วลั่วทำให้แม่ทัพและองครักษ์โดยรอบแท่นสังเกตการณ์จ้องมองมาอย่างเป็นกังวล
สายตาของผู้นำเผ่าเซียงดูเหมือนจะหนักขึ้นหลายต่อหลายเท่าเมื่อมองไปทางราชามาร
นี่คือเมืองไป๋ตี้ แม้แต่ราชามารก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติต่อนางไม่ดี
นอกจากนี้ราชามารก็เริ่มสนใจนางขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าพูดถูก ฉากนี้กับภาพวาดเป็นแผนของมารดาเจ้า”
ราชามารกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการให้เจ้าเศร้าเกินไป ดังนั้นนางจึงหวังให้เจ้าแต่งกับคนที่เจ้ารัก”
ลั่วลั่วตอบ “ข้ามองออกว่าเจ้าไม่ได้รักข้า”
ราชามารเห็นด้วย “ถูกต้อง ข้ายินดีให้ความร่วมมือเพราะข้านับถือเจ้า”
ลั่วลั่วกล่าว “ข้าชอบการสนทนาที่ตรงไปตรงมาแบบนี้”
ราชามารตอบ “ข้าก็ไม่ชอบเรื่องหลอกลวงว่างเปล่าเหล่านั้น ดังนั้นจึงหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ เจ้าจะแต่งกับข้า เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยน”
เสียงของลั่วลั่วเบาลงอยู่บ้าง “แค่เพื่อพันธมิตรอย่างนั้นหรือ”
เสียงราชามารสงบเฉยชาอย่างมาก “เฉินฉางเซิงชิงผู้หญิงที่ข้าอยากได้ไป ดังนั้นสำหรับข้าการนำเจ้ากลับเมืองเสวี่ยเหล่าก็นับว่าเป็นการแก้แค้นเล็กน้อย”
ลั่วลั่วถอนหายใจอย่างหมดหนทาง “หากเจ้ามีฝีมือก็ไปสถานศึกษาหนานซีแล้วชิงตัวภรรยาอาจารย์ ที่พูดแบบนี้ทำแบบนี้ช่างไม่สมกับฐานะของเจ้าเลย”
“อย่างนั้นก็มาพูดสิ่งที่เราควรพูดกันเถอะ”
ราชามารเดินไปที่ระเบียง มองลงไปยังถนนของเมืองไป๋ตี้และภูเขาอีกฝั่งของแม่น้ำแดง “อีกไม่นานโองการจะประกาศต่อโลกหล้า ในเวลาเดียวกันโองการศักดิ์สิทธิ์ของข้าจะออกจากเมืองเสวี่ยเหล่าแพร่กระจายไปทั่วต้าลู่ อย่างมากก็สองชั่วยามศูนย์บัญชาการกองทัพชงโจวจะเริ่มเคลื่อนทัพ จากนั้นจะมีคำสั่งมาถึงด่านหลานกวน ก่อนค่ำกองทัพซงซานจะส่งคำสั่งไปที่ผาชัน ภายในไม่เกินสามวัน เผ่ามนุษย์จะรวมทัพนับล้านกระจายกำลังอยู่ตามด่านสำคัญสิบกว่าแห่ง เตรียมพร้อมทำสงครามใหญ่”
หากคนธรรมดาพูดคำพูดพวกนี้ ก็คงไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่ ฟังเหมือนคนกำลังเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์
แต่เมื่อคำพูดนี้มาจากปากเขา ก็ย่อมให้ความรู้สึกที่ต่างไป
เพราะเขาคือราชามาร ปกครองทุ่งหิมะกว้างใหญ่ในต้าลู่ มีนักรบเผ่ามารที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนสาบานจะติดตามไปจนตาย
ลั่วลั่วรู้ว่าคำพูดนี้น่าจะกลายเป็นจริงสูงมาก ใบหน้าน้อยๆ ซีดขาว
“แต่สงครามนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะมนุษย์ไม่กล้าที่จะเริ่มมัน”
ราชามารกล่าวต่อ “เรื่องระหว่างซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงยังไม่ชัดเจน ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือพวกเขาไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงขาดความกล้า”
คำว่า ‘ประสบการณ์’ เขาหมายถึงเรื่องที่เผ่ามนุษย์ไม่เคยสู้กับทั้งเผ่าปีศาจและเผ่ามารในเวลาเดียวกัน
แม้แต่ก่อนยุคจักรพรรดิไท่จง แม้จะย้อนไปหมื่นปีหรือประวัติศาสตร์ที่ไกลกว่านั้น เผ่ามนุษย์ก็ไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้
ราชามารกล่าว “ตราบใดที่เจ้าแต่งกับข้า ก็จะไม่มีสงคราม และเพราะเจ้า หลายล้านชีวิตก็จะอยู่รอดปลอดภัยบนต้าลู่”
ลั่วลั่วมองหลังเขา คิดเงียบๆ อยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็กล่าวเบาๆ “เจ้ากำลังขู่ข้า”
“เปล่า ข้ากำลังพูดความจริง”
ราชามารมองไปยังเทือกเขาห่างไกลและกล่าว “สำหรับคนอย่างเจ้า ข้าและเฉินฉางเซิง ทิวทัศน์เดียวที่คู่ควรกับสายตาก็คือแม่น้ำภูเขาเหล่านั้น หากเจ้าต้องการจะดูทิวทัศน์นี้ร่วมกับเขาเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแม่น้ำภูเขาที่งดงามราวภาพวาดนี้ก็จะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าด้วยไฟสงคราม มันช่างเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ”