ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 159 ฟังเสียงเจ้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลังจากได้ยินคำพูดของราชามาร ลั่วลั่วก็เดินไปที่ขอบของแท่นสังเกตการณ์และครุ่นคิดคำถามนี้เงียบๆ

สายลมชื้นจากแม่น้ำแดงพัดหมอกอบอุ่นบนถนนในเมืองไป๋ตี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น

นางจำได้ว่านางเคยถกปัญหาคล้ายกันนี้กับอาจารย์ในสำนักฝึกหลวง แต่นางลืมไปแล้วว่าอาจารย์ได้พูดเช่นใด

นางจะเลือกอย่างไร

ในตอนนั้นเองบทเพลงประกอบพิธีที่ดังมาจากแท่นวาฬร่วงก็พลันหยุดลง ปราณเกรี้ยวกราดหลายสายพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ จากนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนโหดร้าย

เกิดการต่อสู้ขึ้นภายในองครักษ์อสูรที่รับหน้าที่ป้องกันเมืองพระราชวังและถูกสะกดลงอย่างรวดเร็ว

ดอกไม้บนพื้นสั่นสะเทือน บันไดหินห่างไกลถูกย้อมจนแดงฉาน นางเห็นองครักษ์อสูรถูกลากออกไปหลายคน แม้ว่าจะไม่อาจมองออกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว

ก่อนที่องครักษ์อสูรจะถูกสะกด พวกเขาตะโกนคำพูดที่ลั่วลั่วสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

“องค์หญิงไม่อาจแต่ง!” พวกเขายินดีตายเพื่อที่จะพูดคำพูดพวกนี้

ลั่วลั่วหันไปหาราชามารและกล่าว “ข้าจะไม่แต่งกับเจ้า”

ราชามารถาม “แค่เพราะพวกองครักษ์ที่ภักดีอย่างโง่เขลาพวกนั้นหรือ”

ลั่วลั่วอธิบาย “มันมีส่วนอยู่บ้าง แต่ที่สำคัญก็คือข้าไม่ชอบเจ้า แล้วจะแต่งกับเจ้าได้อย่างไร”

ราชามารครุ่นคิดกับคำตอบนี้ จากนั้นก็ตอบ “คำพูดพวกนี้ช่างมีเหตุผล ข้าไม่อาจหาคำพูดมาแย้งได้”

ลั่วลั่วกล่าว “แต่ก็ไม่อาจทำให้เจ้ายอมถอย”

“ถูกต้อง ข้ายังแต่งกับเจ้า ต่อให้เจ้าไม่รักข้า เพราะการแต่งงาน โดยเฉพาะการแต่งงานระหว่างข้ากับเจ้า มันเกี่ยวกับแม่น้ำภูเขาที่งดงามราวภาพวาด เกี่ยวกับสันติของต้าลู่ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องมากมาย แต่มีเพียงความรักเท่านั้นที่มันไม่เกี่ยวข้องด้วย”

ราชามารมองดูนางอย่างใจเย็นและเสริม “นอกจากนี้ วันที่เราแต่งงาน ข้าจะฆ่าเซวียนหยวนผ้อเป็นของขวัญให้กับเจ้า”

ลั่วลั่วหน้าซีดลง

หากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่อาจทำลายได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองแค่ร้องขอเท่านั้นเซวียนหยวนผ้อก็จะตาย

เพราะนี่เป็นการแสดงความจริงใจว่าเผ่ามารมีสิทธิ์เรียกร้องจากเมืองไป๋ตี้ได้

แม้ว่าเซวียนหยวนผ้อจะเป็นสมาชิกของเผ่าหมี เขาก็ยังมีฐานะสำคัญอีกอย่างก็คือศิษย์ของสำนักฝึกหลวง

หากเผ่าปีศาจฆ่าเซวียนหยวนผ้อ ถ้าอย่างนั้นด้วยนิสัยของเฉินฉางเซิง ก็หมายความว่าทั้งสองฝ่ายไม่อาจคืนดีกันได้อีก

เผ่ามารอาจเสนอเงื่อนไขมากขึ้น อย่างเช่นฆ่าล้างคณะทูตต้าโจวและอารามเต๋าซีหวง ทำให้ไม่มีทางที่มนุษย์กับปีศาจจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่หากทำแบบนั้น สถานการณ์ในต้าลู่จะย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ว่าปีศาจหรือมารก็ไม่ต้องการจะเห็น

ในแง่นี้ราชามารไม่ได้โกหก เขาต้องการสันติจริงๆ

อย่างน้อยก็จนกว่าเขากับเผ่าของเขาจะฟื้นฟูความแข็งแกร่ง

เลือดบนบันไดถูกคนงานและสาวใช้ทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว

ดนตรีประกอบพิธีเริ่มดังขึ้นอีกครั้งบนแท่นวาฬร่วง

เหล่ามหาบัณฑิตเผ่าปีศาจและขุนนางสำคัญจากหอต่างๆ แยกเป็นสองแถวและเดินออกจากตำหนัก

พระราชโองการสีเหลืองสดวางอยู่บนถาดสีชาด จากนั้นก็ถูกขุนนางชั้นสูงใช้สองมือประคองออกไป

มู่ฮูหยินเดินไปที่ลั่วลั่ว สีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกับภาพมหาสมุทรที่ปักอยู่บนเสื้อคลุมสีทองและดำ ดูยิ่งใหญ่งดงาม

ลั่วลั่วกล่าว “ท่านแม่”

มู่ฮูหยินกล่าว “ลูกสาวข้าจะแต่งออกไปแล้ว ข้าไม่อาจตัดใจจริงๆ”

ตอนทีนางกล่าว สีหน้าสุขุมอย่างมาก ทั้งเด็ดเดี่ยวอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ

“ข้าจะไม่แต่ง”

เสียงของลั่วลั่วก็สุขุมอย่างยิ่ง บ่งบอกว่านางไม่ยอมรับอย่างเด็ดเดี่ยว

มู่ฮูหยินมองไปที่นางและกล่าว “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าวิญญาณบรรพบุรุษยอมรับเขาแล้วเมื่อวานนี้”

ลั่วลั่วตอบ “วิญญาณบรรพบุรุษยอมรับเขา แต่ข้าไม่ เพราะคนที่จะแต่งออกไปคือข้าไม่ใช่วิญญาณบรรพบุรุษ”

มู่ฮูหยินถาม “แม้ว่านี่เป็นสิ่งที่สวรรค์เลือกอย่างนั้นหรือ”

ลั่วลั่วตอบ “คนที่สวรรค์เลือกไม่ใช่คนที่ข้าเลือก ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมาย”

ฮูหยินมองไปที่หมอกบนถนนซึ่งค่อยๆ สลายตัวและกล่าวช้าๆ “หากเจ้ายืนกรานไม่ยอมแต่งงาน มันก็ยากจะสร้างพันธมิตรระหว่างสองเผ่าพันธุ์ อย่าพูดเรื่องว่าจะมีคนบนต้าลู่ต้องตายเท่าไหร่ในอนาคต ตอนนี้เผ่าปีศาจก็กำลังจะแตกหักกัน ชีวิตของคนในเมืองมากมายเท่าไหร่ที่จะไม่ได้เห็นต้นไม้สวรรค์อีก”

ลั่วลั่วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “ท่านแม่ สุดท้ายแล้วท่าก็ยังไม่คิดว่าที่แห่งนี้เป็นบ้านของท่าน”

มู่ฮูหยินถาม “ทำไมเจ้าถึงยืนกรานในความเชื่อนี้”

ลั่วลั่วตอบ “เพราะท่านไม่เคยมีความรักให้เมืองนี้ ท่านสามารถใช้ชีวิตในเมืองนี้มาขู่ลูกสาวของท่าน”

ประกายความอ่อนล้าปรากฏขึ้นในดวงตามู่ฮูหยิน “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าไม่ชอบที่แห่งนี้จริงๆ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของขนสัตว์และเหงื่อ เต็มไปด้วยคำพูดน่าขยะแขยง เต็มไปด้วยความกล้าบ้าบอและสิ่งที่เรียกว่าผู้กล้าอันน่าชังนั่น ที่แห่งนี้เหมือนกับทะเลทรายกว้างใหญ่ ป่าเถื่อนไร้อารยะ”

เสียงของนางเบาจนไม่มีคนอื่นสามารถได้ยิน

“เมืองเสวี่ยเหล่าต่างไป ที่แห่งนั้นมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและศิลปะอย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะด้อยกว่าจิงตูไปมากก็ตาม สามีที่ข้าเลือกให้เจ้าก็เป็นทายาทที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้ ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินตามทางเก่าของข้า ดังนั้นจงแต่งออกไป”

มู่ฮูหยินกล่าวเบาๆ “เรื่องนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว เมื่อเจ้าไม่อาจคัดค้าน เจ้าก็ทำได้แค่เรียนรู้ที่จะยอมรับมัน”

ลั่วลั่วเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถาม “ทำไมข้าถึงไม่อาจคัดค้าน”

มู่ฮูหยินมองตานางและกล่าว “การแต่งงานนี้เป็นข้ากับพระบิดาของเจ้ากำหนดมีวิญญาณบรรพบุรุษเป็นสื่อกลาง ใครจะคัดค้านได้”

ใช่แล้ว การแต่งงานไม่เคยเกี่ยวอะไรกับความรัก

นี่ขึ้นอยู่กับคำสั่งของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อ

ไม่ว่าจะในเผ่าปีศาจ เผ่ามนุษย์หรือเผ่ามาร เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปทั่วต้าลู่

ใครจะยังคัดค้านการแต่งงานนี้ได้

ลั่วลั่วนึกถึงภาพเมื่อหลายปีก่อนในจิงตูระหว่างการชุมนุมไม้เลื้อย

นางคิดถึงภาพนั้นหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นจนถึงตอนนี้ภาพนั้นก็ยังชัดเจนราวกับมันเกิดขึ้นตรงหน้านาง

ในความทรงจำ นั่นเป็นช่วงที่อาจารย์เจิดจ้าที่สุด

ไม่ว่าตอนที่อาจารย์ได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ หรือดึงแสงดาวพร่างพราวยามราตรีในสุสานเทียนซูก็ยังไม่อาจเทียบความเจิดจ้านั้นได้

เพราะอาจารย์ของนางในตอนนั้นเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาของสำนักฝึกหลวง

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือในตอนนั้นอาจารย์เป็นอาจารย์ของนางเพียงคนเดียว

แต่กระนั้นไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเจิดจ้าในคืนนั้นตกถึงนาง

เพราะคำพูดพวกนั้นไม่ได้พูดเพื่อนาง

หากนางสามารถได้ยินคำพูดพวกนั้นในอตนนี้มันก็คงจะดี

น่าเสียดายที่ไม่อาจเป็นไปได้

นางได้ยินว่าตอนนี้อาจารย์อยู่ที่หลีซาน ต่อให้เขาได้ข่าวและเดินทางมาโดยเร็วที่สุด ก็ยังสายเกินไป

ลั่วลั่วยืนอยู่ที่ระเบียง กำลูกปัดหินที่ห้อยอยู่บนคอ มองดูเทือกเขาห่างไกลอีกฝั่งแม่น้ำ

นางมั่นใจว่าอาจารย์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เดินทางข้ามเทือกเขา ปีนป่ายยอดเขาสูง

บางทีเขายังอยู่ห่างไปหลายพันลี้ แต่อย่างน้อยเขาก็กำลังมา

แบบนี้ก็ดี

นางพอใจมากแล้ว

ทันใดนั้นนางก็สีหน้าเปลี่ยนไป

เมฆเหนือเทือกเขาเริ่มบิดเบี้ยว

มีรูปรากฏขึ้นบนเมฆ

เสาแสงตกลงมา

เสาแสงนั่นเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ

ผนึกสองฝั่งแม่น้ำแดงถูกเสาแสงทะลุไปในทันที

กระเรียนขาวบินออกมาจากแสงนั่น

เสียงร้องของมันดังไปทั่วเมืองไป๋ตี้

มีเสียงหนึ่งตามมา

“ข้าคัดค้าน”