กระเรียนขาวอยู่บนท้องฟ้า
ภาพนี้ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนในเมืองไป๋ตี้
แร้งเทาสิบกว่าตัวบินขึ้นจากเมืองไป๋ตี้ไปพบมัน แต่นกโหดเหี้ยมที่มีชื่อเสียงว่าเลี้ยงให้เชื่องได้ยากกลับดูขี้ขลาดในวันนี้ พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้กระเรียนขาวรักษาระยะห่างเอาไว้หลายลี้
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่กระเรียนขาวที่บินผ่านท้องฟ้า
มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก กระเรียนขาวบินจากเทือกเขาอีกฝั่งของแม่น้ำแดงมายังจุดสูงสุดของเมืองไป๋ตี้ ที่ซึ่งมันร่อนลง
สัตว์อสูรจากยุคบรรพกาลที่น่ากลัวอย่างอสูรกระทิงและวานรพสุธาเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง นกอมตายิ่งหาได้ยากยิ่งกว่า
ชาวเผ่าปีศาจตกใจเมื่อคาดเดาได้ว่าคนบนหลังกระเรียนขาวเป็นใคร
มหามุขนายกซีหวงนำนักบวชหลายสิบคนคุกเข่ากับพื้น
ใบหน้าเคารพอย่างมาก ถึงกับนอบน้อมแต่ดวงตาลุกโชนด้วยความเร่าร้อน
ปฏิคมตระกูลถังและผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว คุกเขากราบกรานกับพื้น
ทูตต้าโจวสับสนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ลังเลนานเกินไปก่อนที่จะคุกเข่าลงพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชา
เห็นเช่นนี้เผ่าปีศาจบางคนก็นึกได้ว่ากระเรียนขาวนี้เป็นสิ่งที่โด่งดังที่สุดในต้าลู่ตอนนี้และเดาได้ว่าคนบนหลังมันเป็นใคร
เสียงพูดคุยตรงหน้าเมืองพระราชวังพลันหยุดลง เหลือไว้แต่ความเงียบเท่านั้น
เผ่าปีศาจเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์มานานพันปีจากปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกันจึงมีชาวเผ่าปีศาจมากมายที่ศรัทธาในนิกายหลวง ซึ่งตอนนี้ได้คุกเข่าลงและเริ่มคำนับ
คนมากมายยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือคนบนหลังกระเรียนขาวผู้นี้เป็นใคร แต่เมื่อเห็นผู้คนโดยรอบคุกเข่ากราบกรานกับพื้น พวกเขาก็รู้สึกว่าต้องคุกเข่าลงเช่นกัน
จากเมืองพระราชวังถึงหอเทียนโส่ว จากกำแพงหินถึงทุ่งหญ้า เผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงกับพื้นดูราวกับคลื่น
……
……
ลมเย็นพัด
ดอกไม้ขาวบนพื้นหินสีเทาสั่นไหว
กระเรียนขาวหุบปีกช้าๆ
คนผู้นั้นยืนบนแท่นสังเกตการณ์
ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือซ้ายส่องแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า
ดวงตาของเขาสว่างยิ่งกว่าแสงจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์
อากาศเหนือแท่นสังเกตการณ์เหมือนจะแข็งค้างไปยามที่ความเงียบงันเข้าปกคลุม
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่เขา เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน
ไม่มีคนบนต้าลู่ที่ไม่รู้จักกระเรียนขาวตัวนี้ ไม่รู้จักไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นจึงไม่มีใครที่ไม่รู้จักคนผู้นี้
คนที่ขี่กระเรียนขาวมายังที่แห่งนี้ไม่ใช่เทพแต่เป็นนักปราชญ์
คนที่ถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เทพแต่เป็นสังฆราช
จากจวนอ๋องหรู่หนานถึงสองฝั่งแม่น้ำแดง ข้ามระยะทางแปดหมื่นลี้เดินทางทั้งวันทั้งคืน ฉีกเปิดผนึกด้วยกำลัง เฉินฉางเซิงก็มาถึงในที่สุด
ในการเดินทางยาวไกลนี้ เขาไม่อาจนับได้ว่าผ่านเมฆมามากแค่ไหน เผชิญลมกระโชกบ่อยเท่าไหร่ แต่ก็ยังดูสะอาด ชุดนักพรตสีน้ำเงินไม่มีแม้แต่คราบฝุ่น ความแตกต่างเดียวก็คือมวยผมที่ปกติมัดแน่นตอนนี้ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง
ลั่วลั่วเอียงศีรษะขยี้ตาอย่างน่ารัก
นางเชื่อว่านางตาฝาดไป หูก็แว่วไป
เมื่อยืนยันว่านางไม่ได้เข้าใจผิด นางก็เริ่มยิ้มออกมา
นี่เป็นรอยยิ้มที่แท้จริงที่สุด ออกมาจากภายในสู่ภายนอก ราวกับดอกไม้เบ่งบาน
ใครเห็นยิ้มนี้ ไม่ว่าจะมีจุดยืนเช่นใด ก็ย่อมสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านางกำลังมีความสุข
ลั่วลั่ววิ่งราวกับสายลมเข้าหาเฉินฉางเซิง
เช่นเดียวกับที่ทุกคนคิดเอาไว้
แต่ก่อนที่จะถึงตัวเฉินฉางเซิงไม่กี่ก้าวนางก็หยุดเท้า
นางหยุดเร็วเกินไปจนรองเท้าทิ้งรอยชัดเจนเอาไว้บนพื้นหินแข็ง
นางก้มหน้าเล็กน้อยประสานมือเข้าหากัน ท่วงท่าสมบูรณ์ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน
“คารวะอาจารย์”
……
……
คนเปลี่ยนจากหยิ่งทะนงเป็นเชื่อฟังย่อมหมายความว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงต้องมีเหตุผล
การแสดงออกของลั่วลั่วก็ย่อมมีเหตุผล
เฉินฉางเซิงรู้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร แค่มองไปที่นางเท่านั้น
เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้านาง
ห้าปี
บางทีอาจเป็นเพราะเลือดของนางหรือเพราะทะเลดวงดาวเอ็นดูนาง เวลาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้างดงามของนาง
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเขายังเห็นเด็กสาวจากเมื่อห้าปีก่อน
ห้าปีมานี้เขาแทบไม่เคยเขียนจดหมายหานาง ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่านางค่อยๆ ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว
แต่เวลาไม่มีผลต่อนางจริงๆ
นางไม่ลืม
แน่นอนว่าเขาก็ไม่
ตอนนี้เขาเป็นสังฆราช เช่นเดียวกับเจ้าสำนักฝึกหลวง เขามีศิษย์มากมาย มีผู้ศรัทธาอย่างอันหวามากมาย
แต่ในแง่ของศิษย์ที่แท้จริง เขามีเพียงคนเดียวเท่านั้น
และนางยังเป็นผู้ศรัทธาเขาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นแค่นักพรตน้อยที่ไม่มีใครรู้จัก
ตอนที่เขาคิดเรื่องนี้ ก็มีรอยยิ้มจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินฉางเซิง ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เสียงของเขาก็เป็นเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่ามันจะไม่จงใจโน้มน้าวแต่ก็ทำให้รู้สึกใกล้ชิดได้อย่างง่ายดาย เอ้อระเหยอยู่ไม่หายไปไหน
“ลุก”
ลั่วลั่วลุกขึ้น
นางเชื่อเขาอย่างที่สุดอยู่เสมอ
เฉินฉางเซิงก็ตามใจนางที่สุดเสมอ
นี่ทำให้คำสั่งที่สองตามมา
“มานี่”
ลั่วลั่วเดินเข้าหาเขา
นางยืนอยู่ด้านหลังเขา
เหมือนกับคืนแรกในสำนักฝึกหลวง
ตอนที่มือสังหารเผ่ามารพยายามฆ่านาง เฉินฉางเซิงยืนอยู่ตรงหน้านาง
เหมือนกับคืนแรกของการชุมนุมไม้เลื้อย
ตอนที่ผู้ดูแลการศึกษาของสำนักเทียนเต้าจะลงมือโจมตีนาง เฉินฉางเซิงก็ดึงนางไปไว้ด้านหลัง
ลัวลั่วมองหลังเฉินฉางเซิง คิดว่าพระบิดาพูดถูกต้องจริงๆ
‘เมื่อฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงกว่ามาแบกมันให้เจ้า’
อาจารย์สูงกว่าข้าเสมอ
สายตานางจับจ้องไปที่เสื้อผ้าของเฉินฉางเซิง นางคิดถึงภาพที่มหามุขนายกอันหลินบรรยายในจดหมายและเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา
องค์หญิงเผ่ามารจับมันได้แล้วทำไมข้าจะจับไม่ได้
แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้ยืนมือออกไป ข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ ข้าไม่ต้องพิสูจน์มันกับใครทั้งนั้น
นางเลิกคิดถึงอดีต เลิกคิดถึงปัจจุบัน
คำสั่งของบิดามารดานาง การแต่งกับราชามาร นางไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องพวกนี้อีกต่อไป
นางรู้ว่าอาจารย์ต้องช่วยนางจัดการเรื่องพวกนี้
ในตอนนี้ นางก็แค่ตั้งใจมองดูเฉินฉางเซิงเท่านั้น
จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง
หลังอาจารย์ดูดีจริงๆ
กลิ่นอาจารย์ยังหอมจริงๆ
……
……
คนมากมายมองไปที่เฉินฉางเซิง
เหมือนกับลั่วลั่ว
เฉินฉางเซิงไม่สนใจสายตาพวกนั้น
เขามองไปที่มู่ฮูหยิน
มู่ฮูหยินนิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วถาม “พระองค์มาเพื่อชมพิธีอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “อย่างที่ข้าพูดไป ข้าคัดค้าน”
มู่ฮูหยินกล่าวอย่างเรียบเฉย “การคัดค้านของท่านมีความหมายด้วยหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่อนุญาตให้นางแต่งงาน นางก็ไม่อาจแต่ง”
เสียงหนึ่งดังมาจากที่ใกล้ๆ
“ทำไมเป็นเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงไม่มองไปที่คนถามตอนที่เขาตอบอย่างใจเย็น “เพราะข้าเป็นอาจารย์นาง”
แท่นสังเกตการณ์เงียบไป
เสียงดอกสาลี่สั่นไหวในสายลมดังราวกับเสียงฟ้าร้องในหูของฝูงชน
มู่ฮูหยินบอกว่างานแต่งนี้ถูกต้องเพราะเป็นคำสั่งบิดามารดามีแม่สือชักนำ
การแต่งระหว่างลั่วลั่วกับราชามารได้ถูกกำหนดโดยนางกับจักรพรรดิขาว ได้รับการยอมรับจากวิญญาณบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจ ใครจะสามารถคัดค้าน
ว่าตามเหตุผล ไม่มีใครอีกแล้วที่มีสิทธิ์คัดค้าน
โชคยังดีลั่วลั่วมีอาจารย์
ทั่วต้าลู่รู้เรื่องนี้
ฟ้า ดิน ราชัน บิดา อาจารย์
เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาชั่วชีวิต
เขามีสิทธิ์ที่จะคัดค้านการแต่งงานนี้
ลั่วลั่วยื่นหัวออกมาจากด้านหลังของเขาและกล่าว “อ้า ทุกคนได้ยินชัดแล้วนะ ข้าทำอะไรไม่ได้ คำสั่งอาจารย์ยากขัดขืน”
ตอนที่กล่าวนางลืมตากว้างดูช่างน่ารักไร้เดียงสา