ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 903 โถงเซียนสำนักเต๋า แดนสุขาวดีศาสนาพุทธ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ขณะมองแสงที่พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงก็สบตากัน

ทั้งๆ ที่เป็นแสงที่เปี่ยมล้นด้วยความเป็นสิริมงคล สูงส่งและเป็นของจริง แต่ว่าโลกตรงหน้ากลับปรากฏความแปลกประหลาดที่ยากอธิบาย

ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือว่าฟู่ถิง ต่างมองออกว่า นี่ไม่ได้มีใครแสร้งเป็นเทพหรือทำตัวเป็นภูตผี

จิตที่แฝงอยู่ในแสงนั้น ทั้งล้ำเลิศและลึกล้ำ ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาอย่างแน่นอน

มีการสืบทอดจากเต๋า แต่กลับเป็นธงอีกผืน คล้ายกับได้เปิดเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง ที่ไม่ใช่ระบบเต๋าของบรมครูสามพิสุทธิ์

เพียงแต่เส้นทางเส้นนี้ มุ่งหน้าไปยังจุดจบทางเดียวกับหลักการของพระศรีอาริย์

หนึ่งเต๋าหนึ่งพุทธ กลับมีจุดร่วมกันอยู่

เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงตรวจสอบรอบๆ พบว่าแม้พลังฝึกปรือของจอมยุทธ์ของที่นี่จะมุ่งสู่วิถีเต๋า แต่ว่ารากฐานด้านในกลับมาจากแสงที่พลังศรัทธามอบให้

พวกเขาเหมือนกับจอมยุทธ์ศาสนาพุทธในปัจจุบันที่สิ่งสำคัญที่สุดในการฝึกฝนไม่ใช่การเข้าใจวรยุทธ์ และไม่ใช่กรศึกษาหลักการฟ้าดิน

แต่มาจากจิตใจที่ใฝ่เต๋าอย่างจริงใจ!

จากนั้นค่อยพูดถึงอย่างอื่นบนรากฐานนี้

หากสัตย์ซื่อในเต๋า มีจิตใจแน่วแน่ เชื่อมั่นไม่เสื่อมคลาย แสงจะยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง เกิดการสั่งสมอย่างต่อเนื่อง

แสงนี้จะช่วยเพิ่มระดับ และเพิ่มพลังให้แก่พวกเขาง่ายดายกว่าลูกศิษย์เต๋าอย่างเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง

เพราะทราบว่ามันควรเป็นอย่างนี้แต่ไม่ทราบถึงเหตุผล ระดับเฉลี่ยของจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันจึงต่ำกว่าจอมยุทธ์ของโลกซ้อนโลก หรือแม้แต่โลกแปดพิภพ และโลกผืนสมุทร

แต่ว่าธรณีประตูจะต่ำ และเห็นผลรวดเร็ว

คนที่คุณสมบัติไม่พอ ฝึกฝนยุทธ์ยากมีผลสำเร็จในโลกซ้อนโลกและโลกแปดพิภพ เป็นคนส่วนใหญ่มาโดยตลอด

แต่ว่าในโลกใบนี้ ต่อให้จะมีพรสวรรค์และปัญญาชั่วช้า แต่ขอแค่ใฝ่ในเต๋าอย่างจริงใจ เรียกนาม ‘เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ’ คนส่วนหนึ่งก็สามารถเดินบนเส้นทางวรยุทธ์ ทั้งยังมีผลสำเร็จไม่ต่ำต้อย

คนที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน หากไปอยู่บนโลกซ้อนโลกหรือโลกแปดพิภพ กลับยากจะได้เดินอยู่บนมรรคาวรยุทธ์

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ทราบว่าโลกใบนี้มีประชากรอยู่เท่าไร และไม่ทราบว่ามีโลกที่คล้ายๆ กันอยู่มากแค่ไหน แต่เขารู้สึกได้อย่างรางๆ ว่าน่าจะมีอยู่ไม่น้อย

ที่นี่เป็นโลกที่คล้ายกับโลกศาสนาพุทธ และแตกต่างกับโลกซ้อนโลก รวมถึงมรกตท่องฟ้า

เขากับฟู่ถิงตรวจสอบค้นหา ลองทำความเข้าใจที่นี่อย่างลึกซึ้ง

“แตกต่างกับโลกศาสนาพุทธ ที่นี่น่าจะเคยประสบเคราะห์จากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ อารยธรรมและประวัติศาสตร์ขาดการสืบทอด มีการขาดช่วงที่รุนแรง”

หลังจากทั้งสองเจอกัน ก็สรุปข่าวสารที่ตัวเองรวบรวมมาได้ เยี่ยนจ้าวเกอสรุปว่า “นอกจากเทวกษัตริย์ไร้ประมาณแล้ว สิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ ของที่นี่ก็คือ ‘โถงเซียน’ ซึ่งคล้ายกับแดนสุขาวดีในศาสนาพุทธ”

บรมครูสามพิสุทธิ์และเทพเซียนมากมายในเต๋าสายหลักต่างถูกลบเลือน เหลือร่องรอยอยู่น้อยนิด แม้แต่ตำนานเทพนิยายล้วนเหลืออยู่ไม่กี่ชิ้น

โถงเซียนมาแทนที่การดำรงอยู่ของวังเทพ สวรรค์ชิงเวยเขตหยกพิสุทธิ์ สวรรค์อวี่อวี๋เขตเหนือพิสุทธิ์ สวรรค์ชื่อเทียนเขตเอกพิสุทธิ์

‘ทางศาสนาพุทธ พระศรีอาริย์มีบุญคุณไร้ประมาณ คุ้มครองสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นภัยพิบัติฟ้าดิน’

‘ที่นี่ไม่มีเรื่องภัยพิบัติฟ้าดิน แต่ว่าเป็นเทวกษัตริย์ไร้ประมาณชำระล้างโลก ขจัดความสกปรกโสมมในฟ้าดิน และสร้างเอกภพขึ้นมา’

ที่นี่มีการกล่าวถึงศาสนาพุทธเช่นกัน แต่กลับเป็นบ่อเกิดของสิ่งชั่วร้าย คำสอนนอกรีต นับเป็นฝ่ายมารร้าย และบันดาลให้ฟ้าดินสกปรกอีกครั้ง

ผู้ที่ศรัทธาศาสนาพุทธถือว่าจิตใจแปดเปื้อน นักพรตเต๋าสมควรสะกดการลุกลามอันโสมมของศาสนาพุทธ

เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจยาวเสียงหนึ่ง “พูดง่ายๆ ก็คือ ที่นี่คล้ายมีการติดต่อกับโลกของศาสนาพุทธเป็นประจำ เพียงแต่ไม่ได้ติดต่อกันอย่างเป็นมิตรเท่าใด ทั้งสองฝ่ายเหมือนต่อสู้กันไม่ขาด ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นมารร้าย”

โลกที่คนทั้งสองอยู่ในตอนนี้น่าจะอยู่ติดกับดินแดนที่ต้องต่อสู้กับศาสนาพุทธ ดังนั้นจึงมองศาสนาพุทธเป็นปรปักษ์เป็นพิเศษ

แดนขวางกั้นอันเป็นโลกของศาสนาพุทธที่เยี่ยนจ้าวเกอไปถึงในตอนนั้น อยู่ฝั่งเดียวกับศาสนาพุทธ แต่อาจจะอยู่ค่อนไปด้านหลัง ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีข่าวลือเรื่องโลกโถงเซียนทางนี้นัก

เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ “ทั้งสองฝ่ายยึดครองโลกไปไม่น้อย”

เมื่อไปถึงแดนขวางกั้นเป็นครั้งแรก เขาเดาว่ามี ‘กำแพง’ ด้านหนึ่งดำรงอยู่ ซึ่งขวางระหว่างโลกของศาสนาพุทธและโลกเต๋าเช่นโลกซ้อนโลกไว้

ในตอนนั้นเขายังคิดว่าเป็นการแบ่งแค่สองด้านของ ‘กำแพง’ หรือไม่ และไม่รู้ว่ายังมีการแบ่งมากกว่านั้นอีกหรือไม่เช่นกัน

คิดไม่ถึงว่าเรื่องร้ายจะกลายเป็นจริง กำแพงมีไม่ต่ำกวาสองด้านจริงๆ

สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอที่มีพลังฝึกปรือสูงล้ำในปัจจุบัน ‘กำแพง’ ก็ไม่ได้ทำลายง่ายถึงเพียงนั้น

แต่ว่าความผิดปกติของเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับเมื่อก่อนหน้านี้ กับการสั่นสะเทือนสะกดซึ่งจักรพรรดิแพรงามได้ทิ้งเอาไว้ของทวนพระอังคารในครั้งนี้มีพลังรุนแรงเกินไป

กระแสปั่นป่วนของมิติที่เกิดขึ้น ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอลอยมายังอาณาเขตด้านนอกโลกเต๋า

แต่ว่าโลกที่โถงเซียนปกครองใบนี้ อยู่เหนือความคาดคิดของเยี่ยนจ้าวเกอจริงๆ

การดำรงอยู่ของศาสนาพุทธ เขาย่อมไม่ใช่ไปถึงแดนขวางกั้นแล้วจึงค่อยทราบ

ศาสนาพุทธได้ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แล้ว นอกจากนี้ยังมีการต่อสู้กับเต๋าในตอนนั้นด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากพระศากยมุณีได้เข้าสู่นิพพาน และพระศรีอาริย์ได้ครองแดนอภิรดีเช่นกัน

แต่ว่าเทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับโถงเซียนที่เรียกขานกันอยู่ตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกล้ายืนยันได้ว่าไม่เคยมีมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

นี่เป็นสิ่งที่กำเนิดขึ้นมาหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

ว่ากันตามตรง เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ค่อนข้างประหลาดใจ ไม่ค่อยงงงันเท่าใดนัก

ถ้าหากเป็นแค่ศาสนาเล็กลัทธิน้อยยังพอว่า แต่ดูจากท่าทางในตอนนี้แล้ว ถึงขั้นทัดเทียมกับศาสนาพุทธที่พระศรีอาริย์เป็นผู้ปกครองmเดียว

พระศรีอาริย์เป็นผู้ใดกันแน่

ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ พระองค์คือบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของฟ้าดิน เป็นผู้ครองแดนอภิรดีต่อจากพระศากยมุณี สามารถปกป้องโลกศาสนาพุทธจำนวนมากถึงเพียงนั้นให้ข้ามพ้นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ได้

โถงเซียนที่สามารถต่อกรท่านผู้นี้ได้ ต้องเป็นเหล่าคนที่ร้ายกาจถึงเพียงไหน

แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นแล้ว…

‘ตกลงแล้วโผล่มาจากไหนกันแน่’ เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วแตะริมฝีปาก ฟู่ถิงที่อยู่ด้านข้างก็มีคำถามเดียวกันในใจ

นอกจากคำถามแล้ว นางยังมีความกังวลบางอย่าง จึงมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ “คุณชายเยี่ยน ในตอนที่ท่านเปล่งคำสรรเสริญ หรือคิดถึงเทวกษัตริย์ไร้ประมาณผู้นั้น มีความรู้สึกผิดปกติใดหรือไม่”

“ไม่มี” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว “หรือว่าคนอย่างพวกเรา ขอแค่ปากพูดถึง หรือคิดถึงในใจ จะเกิดแสงเพื่อบูชาเทวกษัตริย์ไร้ประมาณนั่นหรือ”

ฟู่ถิงส่ายหน้า “ในร่างกายข้าไม่มีแสงใดเกิดขึ้นมา แต่ข้ารู้สึกได้อย่างรางๆ ว่าเหมือนจะมีความแตกต่างอยู่”

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอหยั่งลึกขึ้นเล็กน้อย “เพราะโดยคุณสมบัติแล้ว นับว่ามาจากเต๋าเหมือนกันหรือ”

พริบตาเดียว ห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอเกิดความคิดมากมายแวบผ่าน

สิ่งที่ได้พบเจอมาก่อนหน้านี้พากันลอยขึ้นมา

ขณะกำลังใคร่ครวญอยู่ ปราณวิญญาณในฟ้าดินตรงหน้าพลันเกิดการกระเพื่อมอย่างรุนแรง

ไกลออกไปมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งหลายสายเข้าใกล้มาอย่างรวดเร็ว

กลิ่นอายเหล่านี้ปะทะกันอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับกำลังประมือกันอยู่

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอสบตากับฟู่ถิงแล้ว สองคนก็เก็บกลิ่นอาย รอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบเชียบ

ไม่ทันไรก็มีเงาคนหลายสายเข้าสู่ครรลองสายตา คนผู้หนึ่งหนีอยู่ด้านหน้า ด้านหลังติดตามไว้ด้วยคนมากมาย นอกจากนี้ยังพากันโจมตีใส่เขาด้วย

ในกลุ่มคนที่ไล่ตามมีคนผู้หนึ่งตวาดว่า “หยางชง ท่านตกเข้าสู่เส้นทางนอกรีต ความผิดโทษฐานไม่สำนึกปรับปรุงตัวยังไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ถึงขั้นกล้าว่าร้ายเทวกษัตริย์ นั่นนับว่าต้องโทษร้ายแรงที่สุด รีบยอมให้จับเสียโดยดี ไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกเราไม่เห็นแก่หน้าสหายในสำนัก”

………………..