ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 904 ศรัทธาในเต๋า องค์เทพประทานพร

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในระหว่างที่คนเหล่านั้นต่อสู้กัน เยี่ยนจ้าวเกอพอจะมองออกอยู่บ้าง

แววตาเขาเปลี่ยนเป็นล้ำลึกกว่าเดิมอย่างควบคุมไม่ได้ ‘เป็นวรยุทธ์ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ทั้งยังรักษาไว้ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ เพียงแต่…’

เพียงแต่แม้จอมยุทธ์เหล่านี้จะฝึกฝนญาณจริงแท้ปราณจิตรา เสริมความแข็งแกร่งให้แก่ลมปราณและจุดลมปราณได้ แต่ว่ารากฐานของพวกเขามาจากแสงศรัทธาในร่าง

กลุ่มคนที่เหาะเหินมากลุ่มนี้ ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น

แต่ว่าแสงศรัทธาของคนที่หนีอยู่ด้านหน้ากลับไม่มั่นคงนัก

เหล่าคนที่ไล่ตามมาด้านหลัง ไม่พูดถึงระดับฝึกปรือสูงต่ำ อย่างน้อยแสงก็มั่นคงยิ่ง เสถียรเหมือนปกติ

ส่วนคนที่ถูกไล่ล่าอยู่ด้านหน้าผู้นั้น แสงในร่างกะพริบไม่หยุด เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืด

เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงเพ่งสายตามองไป เห็นคนที่หนีอยู่ข้างหน้าผู้นั้น เป็นบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์แดง ใบหน้าน่าเกรงขาม สายตาแน่วแน่

เขามีพลังฝึกปรือสูงส่งยิ่ง จุดลมปราณทั่วร่างเปิดขึ้น ไม่เพียงแต่จุดลมปราณทั่วร่างเท่านั้นที่หลอมเป็นเทวะหมดแล้ว แม้แต่จุดลมปราณซ่อนเร้นมากมายก็ประสานเสียงกับดวงดาวที่แท้จริงในจักรวาลนอกโลกสำเร็จ ทลายนภาเห็นเทวะสำแดงแล้ว

นี่เป็นสัญลักษณ์พิเศษของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย

ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ขั้นเทวะสำแดงระยะกลาง หลังจากหลอมจุดลมปราณหลักกลายเป็นเทวะแล้ว จะรุดถึงระดับสูงสุด

ยามนี้หากลองหลอมจุดลมปราณซ่อนเร้นมากมายให้กลายเป็นเทวะ แล้วก้าวเท้าก้าวแรกสำเร็จ ก็จะเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย

จอมยุทธ์ผู้มีนามว่าหยางชง ซึ่งกำลังถูกไล่ล่าอยู่ในตอนนี้ เขาอยู่ในระดับนี้นี่เอง

เยี่ยนจ้าวเกอวรยุทธ์ที่เขาฝึกฝน มันมีชื่อว่าฝ่ามือฟ้าพร่องโกลาหล มาจากคัมภีร์ฟ้าโกลาหล ด้านในหอหนังสือของวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ถึงขั้นมีเก็บไว้

แสดงให้เห็นว่า แม้จะพึ่งพาแสงศรัทธาเป็นรากฐาน แต่ว่าหยางชงมีพรสวรรค์วรยุทธ์ไม่ต่ำต้อย เพราะเขาศึกษาฝ่ามือฟ้าพร่องโกลาหลถึงแก่นแท้มาแล้ว

แต่ว่าในตอนนี้ เขากลับถูกจอมยุทธ์ศักดิสิทธิ์ที่เพิ่งเลื่อนเป็นขั้นเทวะสำแดง หรือขั้นรวมรูปไล่ล่า

นอกจากนี้หยางชงยังมีสภาพทุลักทุเลยิ่ง ได้แต่สู้ไปพลาง หนีไปพลาง

คนที่ไล่ตามอยู่เบื้องหน้า ล้วนฝึกฝนคัมภีร์ฟ้าโกลาหลเป็นรากฐาน เป็นสหายร่วมสำนักของเขา

‘ได้รับบาดเจ็บหรือ’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิด ‘หรือว่า…’

ในกลุ่มไล่ล่ามีคนร้องว่า “อาจารย์อาหยาง โปรดหยุดเลอะเลือน กลับสำนักกับพวกเราเถอะ ขออภัยต่อหน้าองค์เทพ ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถหันหน้ากลับได้!”

ไม่รอหยางชงตอบ ในกลุ่มไล่ล่าก็มีอีกคนตวาดเสียงดุดัน “เฉวียนฮ่าวหลง ท่านคิดปกป้องคนทรยศผู้นี้หรือ”

คนที่เพิ่งพูดก่อนหน้านี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย

หยางชงส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเฉวียนฮ่าวหลงผู้นั้น ทอดถอนใจว่า “เส้นทางนอกรีตไม่ใช่ไร้ซึ่งเส้นทาง เส้นทางหลายหลักเองก็ไม่ใช่มีแค่หนึ่ง ข้าได้เห็นเส้นทางมากมาย คิดเลือกการใช้ชีวิตแบบอื่นตามความต้องการของตัวเองเท่านั้น”

“โลกที่อยู่ตรงหน้าเราเป็นของจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด โลกที่พวกเราสามารถเห็นได้ เป็นเพียงสิ่งที่ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่อยากให้พวกเราเห็นเท่านั้น”

แววตาของหยางชงส่ายไหวเล็กน้อย “เมื่อได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น โลกตรงหน้าเราก็ไม่เหมือนเดิมอีก…”

ผู้ที่ไล่ล่าเขาพอได้ยิน ต่างก็มีสีหน้าที่ต่างไปจากเดิม “เหลวไหลทั้งเพ คำพูดชั่วร้ายหลอกลวงผู้คน!”

ในเสียงตวาด คนมากมายลงมือพร้อมกัน เป็นฝ่ามือฟ้าพร่องโกลาหลเหมือนกับหยางชง

พลังฝ่ามือกระจายไปทั่ว ทิวทัศน์ระหว่างฟ้าดินเปลี่ยนแปลงติดต่อกัน

ลมหยุดพัด อากาศเหนียวเหนอะราวกับบ่อโคลน

เมฆผนึกแข็ง หล่นลงเบื้องล่างคล้ายกับก้อนตะกั่ว

พื้นดินยุบลง น้ำในทะเลสาบพัดทวน พุ่งขึ้นสู่ฟ้า

ทุกสิ่งทุกอย่างต่างไปจากปกติ ความโกลาหลเกิดขึ้นทุกที่ ทำให้ผู้คนรู้สึกสับสนเหลือประมาณ

ความโกลาหลมากมายรวมตัวกัน กอปรกันเป็นพลังมหาศาลที่บิดเบี้ยว คล้ายกับกำลังฉีกกระชากม่านฟ้า

ภัยพิบัติไร้สิ้นสุดปรากฏขึ้นในมิติที่แตกร้าว ทำให้ทุกอย่างดูโดดเด่นยิ่ง

หยางชงเห็นดังนั้นก็ถอนใจคำหนึ่ง ผลักสองฝ่ามืออก เป็นฝ่ามือฟ้าพร่องโกลาหลเช่นกัน

ใช้สับสนสู้สับสน เปลี่ยนความผิดปกติเป็นความปกติ พลังฝ่ามือของหยางชงกระจายไปทั่วทุกที่ ทิวทัศน์ในโลกเริ่มกลับคืนสู่สภาพเดิม

แต่พอเห็นเขาลงมือ เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงต่างก็ขมวดคิ้ว

เพราะว่าพลังที่หยางชงแสดงออกมาในตอนนี้ ไม่เหมือนกับระดับที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้ายควรจะมีแม้แต่น้อย

แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในเต๋าสายโถงเซียน พลังสู้ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์ในระดับเดียวกันไม่ได้ แต่ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหกก็ยังคงเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหกที่หลอมจุดลมปราณทั่วร่างเป็นเทวะ และเริ่มหลอมจุดลมปราณซ่อนเร้นได้แล้ว มีพลังมากพอสะเทือนฟ้าสะท้านดิน

คู่ต่อสู้ของเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์จากเต๋าสายโถงเซียนทั้งสิ้น พลังไม่มีตรงไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ และไม่ได้ข้ามระดับต่อสู้ บดขยี้คนจำนวนมากได้อย่างเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง

ในสถานการณ์เช่นนี้ การลงมือของหยางชงที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ตามเหตุผลควรกวาดล้างผู้ไล่ตามที่มีระดับสูงที่สุดแค่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ตรงหน้าเหล่านี้ได้

ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้ผู้คนประหลาดใจ

หยางชงถึงกับจัดการคู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้

พอเผชิญกับการกลุ้มรุม ถึงขั้นต้านซ้ายขวาเกิดช่องโหว่ ถูกกดดันเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

พลังสายตาในตอนนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง เมื่อสำรวจดูก็พบว่า สถานการณ์รบตรงหน้าแทบไม่มีความลับให้พูดถึง

“ไม่ใช่อ่อนแอหลังจากได้รับบาดเจ็บ…”

“ไม่ใช่จงใจออมมือ…”

“ดูเหมือนตั้งใจสะกดพลังของตัวเองไว้ หรือว่าถูกคนสะกดพลังส่วนหนึ่งไว้…”

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “เหมือนกับระดับตกลง แต่ว่าบนร่างไร้บาดแผล เป็นเพราะแสงศรัทธาเหล่านั้น”

“การฝึกฝนก่อนหน้านี้ของเขาล้วนอาศัยแสงศรัทธาเป็นพื้นฐาน รากฐานที่หลอมจุดลมปราณเป็นเทวะ จนจุดลมปราณมากมายบนร่างประสานเสียงกับดวงดาวจริงแท้ก็อยู่ตรงนี้” ฟู่ถิงมองสภาพของหยางชงออกเช่นกัน “ตอนนี้แสงในร่างของเขาไม่มั่นคง จุดลมปราณที่ตอนแรกเห็นเทวะสำแดงเหล่านั้นไม่ขยับ คล้ายกับหลับไหล!”

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “ที่มันเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่องตามเวลาที่ผ่านไป เป็นเพราะเขาไม่กล่าวสรรเสริญอีกหรือ”

พลังในตอนนี้ของหยางชงไม่ต่างกับสหายในสำนักที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นของเขาเหล่านั้นเท่าใดนัก

ถ้าหากดำเนินต่อไป เช่นนั้นอีกไม่นาน พลังของเขาอาจจะตกไปอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม

นอกจากนี้จะลดลงไปอย่างต่อเนื่องด้วย

ไม่ใช่แค่หลอมจุดลมปราณเป็นเทวะเท่านั้น ในการใช้ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ที่ฝึกฝนมาถึงทุกวันนี้ ไม่อาจแยกจากแสงศรัทธานั้น

ในจอมยุทธ์ที่โจมตีหยางชง คนที่เป็นผู้นำเอ่ยอย่างเย็นชา “หยางชง ท่านใช้คำโกหกหลอกลวงผู้คน หมายจะล่อใจพวกเรา ไม่ใช่เพราะต้องการสร้างความปั่นป่วนให้แก่จิตใจของพวกเรา ให้พวกเรามีจุดจบเดียวกับท่าน เพื่อจะได้ปล่อยท่านหนีหรือ”

“ฝันไปเถอะ พวกเราศรัทธาในเต๋า องค์เทพทรงประทานพร ไหนเลยจะคลุ้มคลั่งไปเช่นท่าน?”

“ในเมื่อตอนนี้ท่านยังยึดมั่นถือมั่น เช่นนั้นก็จงรับความตายเสีย!”

ขณะที่พูด คนผู้นี้ฉวยโอกาสตอนที่หยางชงป้องกันคนอื่น วูบไหวร่างกายครั้งหนึ่ง

ฝ่ามือฟ้าพร่องโกลาหลกลายเป็นวรยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่บันทึกในคัมภีร์ฟ้าโกลาหล ดัชนีปั่นป่วนเอกภพ

หยางชงถูกผู้อื่นกลุ้มรุม ในขณะที่ใช้พลังทั้งหมดเข้าปะทะ ก็หลบเลี่ยงและป้องกันไม่ทัน พลันถูกดัชนีทิ่มใส่

สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน ตอนแรกเป็นสีแดง จากนั้นก็กลายเป็นสีเขียวเข้ม กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

คนที่รุมโจมตีที่เหลือ ฉวยโอกาสนี้ลงมือพร้อมกัน ใช้ฝ่ามือฟ้าพร่องโกลาหลทำลายญาณจริงแท้คุ้มร่างของหยางชง กระแทกเขาตกลงจางฟ้า

หยางชงกระเด็นลงไปถึงพื้น เหลือลมหายใจรวยริน ยากจะขยับเขยื้อน

คนอื่นๆ ติดตามไป คนผู้หนึ่งพูดอย่างแช่มช้าว่า “ศิษย์หลานเฉวียน เจ้าลงมือ จัดการเขาเสีย”

ทันทีที่คนที่ชื่อเฉวียนฮ่าวหลงผู้นั้นได้ยินประโยคนี้ ร่างของเขาก็พลันแข็งทื่อ

………………..