เมื่อจอมยุทธ์อิสระผู้นั้นถูกกระแทกกระเด็นกลับไปโดยพลังที่ห่อหุ้มอยู่รอบ ๆ พระราชวัง ทุกคนก็ไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามอีกต่อไป
ทุกคนมองตรงไปยังพระราชวังงดงามตรงหน้าจากระยะที่ห่างพอสมควรและคาดเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างในการเข้าไปข้างในนั้น
“มันคงจะเป็นผลึกวิญญาณพวกนั้น ผลึกวิญญาณแต่ละก้อนคงจะเป็นเครื่องผ่านทางให้กับพวกเราแต่ละคน มีเพียงแค่การที่มีผลึกวิญญาณติดตัวเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปโดยที่ไม่ถูกขัดขวางโดยม่านป้องกันรอบ ๆ พระราชวัง”
หลังจากพระราชวังปรากฏตรงหน้า ผลึกวิญญาณที่ถูกนำไปรวมกันก่อนหน้านี้ก็กลับไปอยู่ในมือของเจ้าของมันอีกครา ซึ่งผลึกวิญญาณห้าก้อนของฉินอวี้โม่ก็กลับมาอยู่ในมือของนางเช่นกัน
“เจ้า…ลองไปทดสอบดู”
ไป๋เสี่ยวหลงยื่นผลึกวิญญาณก้อนหนึ่งให้กับคนตระกูลไป๋และสั่งให้เขาลองเหาะเข้าไปในพระราชวังดู
บุรุษผู้นั้นระงับความกลัวในใจก่อนเหาะตรงไปพร้อมกับผลึกวิญญาณในมือ
และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ เขาผ่านม่านป้องกันเข้าไปในพระราชวังได้โดยที่ไม่เผชิญกับอุปสรรคใด ๆ
“คิดไว้ไม่มีผิด !”
ทุกคนมั่นใจขึ้นมาทันทีก่อนที่บุรุษผู้นั้นจะตะโกนบอกกับไป๋เสี่ยวหลง “ท่านผู้นำขอรับ ผลึกวิญญาณในมือของข้าหายไปแล้ว !”
หลังจากเข้าไปในพระราชวังได้สำเร็จ ผลึกวิญญาณในมือของเขาก็สลายกลายเป็นกลุ่มพลังงานที่ลอยละล่องไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
“เข้าใจแล้ว ตอนนี้เจ้ารออยู่ที่นั่นและอย่าเพิ่งไปไหนล่ะ”
ไป๋เสี่ยวหลงสั่งการกับคนของตนเพื่อมิให้เขามุ่งหน้าเข้าไปข้างในก่อน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่ทราบว่ามีภยันตรายใดซ่อนไว้ในพระราชวังหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น หากปล่อยให้บุรุษผู้นั้นเข้าไปสำรวจก่อน ไม่ว่าเขาจะได้สิ่งใดกลับคืนมาหรือไม่ ตระกูลไป๋จะตกเป็นเป้าหมายของคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น การรอให้ทุกคนที่มีผลึกวิญญาณเข้าไปพร้อมหน้าพร้อมตากันก่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และผลประโยชน์ที่จะได้รับในตอนสุดท้ายก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน
“บางทีอาจจะมิใช่เพียงแค่หนึ่งคน”
หนิงหม่านชางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนสั่งให้หนิงหม่านโหลวพาสมาชิกสองคนของตระกูลหนิงเข้าไปด้วยกัน
คนทั้งสองก็เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่โดยมีเพียงหนิงหม่านโหลวที่ถือผลึกวิญญาณไว้ในมือ จากนั้นทั้งสามก็เหาะตรงเข้าไปก่อนที่หนิงหม่านโหลวจะผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ทว่าสมาชิกตระกูลหนิงอีกสองคนกลับถูกกระแทกกระเด็นกลับมาเหมือนกับจอมยุทธ์อิสระก่อนหน้านี้
หากมิใช่เพราะเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เกรงว่าพวกเขาทั้งสองอาจจะร่วงลงไปในรอยแยกและตามรอยเท้าของจอมยุทธ์อิสระผู้นั้นไป
“เห็นทีว่าผลึกวิญญาณแต่ละก้อนจะพาคนเข้าไปได้เพียงคนเดียวจริง ๆ”
หลายคนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก จากเดิมที่คิดว่าผลึกวิญญาณหนึ่งก้อนจะช่วยให้ตัวแทนสามคนเข้าไปในพระราชวังได้ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมองโลกในแง่ดีเกินไป
แน่นอนว่าผู้ที่มีใบหน้าเหยเกมากที่สุดก็คือเยี่ยซี ด้วยผลึกวิญญาณทั้งสามก้อนของตระกูลเยี่ย เขามั่นใจว่าจะพาคนเข้าไปได้ถึงเก้าคนซึ่งล้วนเป็นจอมยุทธ์ฝีมือดีที่เดินทางมาซากปรักหักพังกับเขาในครานี้ ทว่าตอนนี้กลับต้องขาดกำลังคนไปมากถึงหกคนในคราวเดียวและเหลือเพียงสามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไป
เดิมทีเขาวางแผนที่จะร่วมมือกับตระกูลหนิงเพื่อให้กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบกลุ่มอื่น ๆ ทว่าตอนนี้การที่ฉินอวี้โม่ที่มีผลึกวิญญาณห้าก้อน รวมถึงจอมยุทธ์อิสระคนนั้น ตระกูลเยี่ยของพวกเขาก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย
“ผู้นำไป๋ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับไป๋เสี่ยวหลงอย่างขอโทษขอโพย ในตอนแรกนางให้คำมั่นกับเขาไว้ว่าหากผลึกวิญญาณหนึ่งก้อนสามารถพาคนเข้าไปได้มากกว่าหนึ่งคน สิทธิ์ที่เหลือจะถูกมอบให้กับคนตระกูลไป๋ ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
“นี่มิใช่ความผิดของเจ้าหรอก ไม่จำเป็นต้องขอโทษสิ่งใด”
ไป๋เสี่ยวหลงยิ้มอย่างสบาย ๆ และเข้าใจดีว่าการหารือก่อนหน้านี้มีไว้สำหรับสิทธิ์พิเศษที่เพิ่มมาเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อทราบแล้วว่าผลึกวิญญาณแต่ละก้อนสามารถให้สิทธิ์เพียงหนึ่งที่ ด้วยการที่ฉินอวี้โม่และสหายรวมกันเป็นห้าคนพอดี เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีสิทธิ์เหลือสำหรับคนตระกูลไป๋อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนรวมห้าคน ฉินอวี้โม่และสหายก็กลายเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในพระราชวังทันที
แม้แต่ตระกูลเยี่ยก็ยังไม่กล้าทำอะไรพวกนางอย่างไม่ยั้งคิด
“เหอะ รอดูก่อนเถอะ !”
เยี่ยซีแค่นเสียงอย่างเย็นชาและโบกมือเรียกคนตระกูลเยี่ยสองคนก่อนทั้งสามจะเหาะเข้าไปพระราชวังด้วยกัน
ไป๋เสี่ยวหลง จอมยุทธ์อิสระนามว่า ‘เฟิงเป่ยโม่’ และหนิงหม่านชางก็เหาะเข้าไปในพระราชวังเช่นกัน
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่แจกจ่ายผลึกวิญญาณให้กับสหายทั้งสี่ก่อนคณะคนทั้งห้าจะเหาะเข้าไปในพระราชวังด้วยกัน
เมื่อเข้ามาภายในพระราชวังงดงาม สภาวะพลังหนาแน่นก็ถาโถมเข้ามาในร่างกายทันที ภายในเวลาเพียงครู่เดียว ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนภายในร่างกายและสัมผัสได้ว่าพลังของพวกเขาพัฒนาขึ้นเล็กน้อย
ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของคนเหล่านี้ เดิมทีหากต้องการทะลวงพลังไปสู่ระดับต่อไป มันจะมิใช่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ทว่าต่อให้เป็นเพียงขั้นเดียวก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าสิบปี เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตาม สภาวะพลังภายในพระราชวังแห่งนี้กลับทำให้ความแข็งแกร่งของทุกคนพัฒนาขึ้นเล็กน้อยทันทีที่ก้าวเข้ามาซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ภายใน
“สมกับที่เป็นพระราชวังที่ต้นไม้โลกเคยอยู่อาศัยจริง ๆ สภาวะพลังข้างในนี้อุดมสมบูรณ์เกินกว่าที่จอมยุทธ์ธรรมดา ๆ จะจินตนาการได้”
ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกหวาดหวั่นต่อพลังอำนาจของต้นไม้โลกมากยิ่งขึ้น
“เหอะ หลังจากนี้ไม่ว่าจะไขว่คว้าโอกาสใดมาได้ มันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละคน เราจะไม่เสียเวลาอยู่ร่วมกับพวกเจ้าอีก !”
เยี่ยซีแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวทิ้งท้ายก่อนนำคนตระกูลเยี่ยไปยังตำหนักที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางทันที
“สหายน้อยทั้งหลาย ไว้พบกันหลังจากนี้”
ไป๋เสี่ยวหลงก็กล่าวทิ้งท้ายและตรงเข้าไปยังตำหนักแห่งหนึ่ง หนิงหม่านโหลวและหนิงหม่านชางก็เมินเฉยต่อคณะของฉินอวี้โม่และแยกตัวออกไปเช่นกัน
“เราจะทำอย่างไรต่อไป ?”
ซ่งหยางมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถาม เขาไม่คิดที่จะออกสำรวจเพียงลำพังและต้องการรวมกลุ่มกับฉินอวี้โม่ต่อไป
“ไปสำรวจตำหนักขนาดเล็กที่อยู่รอบ ๆ กันก่อนเถอะ พวกเราคงจะได้ครอบครองผลประโยชน์มาไม่น้อย”
ฉินอวี้โม่ตัดสินใจทันทีและต้องการสำรวจตำหนักรอบตัวก่อน
สำหรับตำหนักขนาดใหญ่ตรงกลางนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นตำหนักที่ต้นไม้โลกเคยอาศัยอยู่อย่างแน่นอน สมบัติที่ต้นไม้โลกทิ้งไว้ก็ควรจะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ทว่ามันย่อมมีการป้องกันที่ทรงพลังกว่าที่อื่น ๆ ซึ่งการที่จะเข้าไปก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
ต่อให้เยี่ยซีและคนตระกูลเยี่ยจะมุ่งหน้าไปที่นั่นก่อน พวกเขาก็อาจไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลับมา
สำหรับตำหนักเล็กรอบตัวนั้น ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้ว่าคงจะมีสมบัติหลงเหลืออยู่บ้าง ต่อให้มีการป้องกันบางอย่างอยู่ มันก็คงจะไม่แข็งแกร่งนักและเข้าถึงได้ง่ายกว่าสมบัติในตำหนักใหญ่
สหายคนอื่น ๆ ก็ไม่คัดค้านและทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งด้วยกัน
หลังจากเดินมาเป็นพักใหญ่ กลิ่นสมุนไพรบางอย่างก็โชยแตะจมูกทุกคนก่อนพบว่าเบื้องหน้าคือสวนขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสมุนไพรระดับสูงและบุปผาหลากหลายชนิด
พระราชวังแห่งนี้ถูกปิดผนึกไว้ใต้ดินมานานนับหมื่นปี ทว่าสมุนไพรและบุปผาเหล่านี้กลับไม่แห้งเหี่ยวโรยราแม้แต่น้อย มันยังคงเขียวชอุ่มและเบ่งบานชวนมองอย่างยิ่ง
“ที่นี่มีสมุนไพรระดับเก้าอยู่เป็นจำนวนมาก !”
แม้ด้วยความรู้ความเข้าใจที่กว้างขวางของฟู่อวิ๋นซิว เขาก็ยังต้องตกตะลึงเมื่อได้พบสมุนไพรระดับเก้ามากมายเช่นนี้ หากนำพวกมันไปที่ดินแดนมหาเทพ มันก็มากพอที่จะช่วยให้สร้างขุมกำลังระดับหนึ่งขึ้นมาได้ และแม้ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ เราจะเก็บสมุนไพรเหล่านี้ไปสองในสามส่วนเท่านั้นและเหลืออีกหนึ่งส่วนไว้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวขึ้นเบา ๆ โดยไม่คิดที่จะเก็บสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดกลับไป
หากปล่อยให้สมุนไพรเหล่านี้เจริญเติบโตอยู่ที่นี่ต่อไป พวกมันก็จะเพิ่มปริมาณได้หลายเท่าตัวอย่างแน่นอน สำหรับการเหลือไว้หนึ่งส่วนนี้ มันจะงอกเงยเป็นปริมาณมากเหมือนในอดีตภายในเวลาเพียงไม่นานและจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ทุกคนไม่คัดค้านใด ๆ และเริ่มเก็บสมุนไพรระดับเก้าเหล่านั้นโดยจะแบ่งกันอีกครั้งเมื่อออกไปจากที่นี่ได้
หลังจากที่ออกไปจากสวนสมุนไพร ทั้งห้าก็เดินหน้าต่อไปเพื่อสำรวจหาสมบัติด้วยกัน
จากนั้น เวลาเจ็ดวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม้พระราชวังแห่งนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับพระราชวังอื่น ๆ ทว่าฉินอวี้โม่และสหายก็ออกสำรวจทั่วบริเวณนานเจ็ดวันโดยที่ไม่พบเยี่ยซีหรือคนอื่น ๆ แม้แต่คนเดียว
ในวันที่แปดของการสำรวจพระราชวังของต้นไม้โลก ในที่สุดทุกคนก็มารวมตัวกันในห้องโถงของตำหนักที่ใหญ่ที่สุด
ภายในห้องโถงหลักแห่งนี้ สมาชิกตระกูลเยี่ยทั้งสามคนก็มาที่นี่ตั้งแต่วันแรกและจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่จากไปที่ใด
.
.