สมาชิกตระกูลเยี่ยทั้งสามคนเข้ามาในห้องโถงของตำหนักใหญ่ตั้งแต่วันแรก
พวกเขาสันนิษฐานถูกต้องว่าสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของต้นไม้โลกจะต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอนและมันก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้าอย่างชัดเจน
บนบัลลังก์ตรงกลางห้องโถงคือเมล็ดพันธุ์สีเขียวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศและส่องแสงเป็นประกายงดงามออกมา
เพียงแต่รอบ ๆ เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวนั้นมีผนึกป้องกันไว้ซึ่งเยี่ยซีและคนตระกูลเยี่ยอีกสองคนไม่สามารถทำลายผนึกที่ว่านั่นได้เลย เพราะเหตุนั้น หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเขาจึงใช้เวลาอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ได้ครอบครองสิ่งใดมา
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามา สีหน้าของเยี่ยซีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและกลายเป็นบูดบึ้งทันที
“หึ ดูเหมือนว่าคนของตระกูลเยี่ยคงจะอ่อนแอกันมากสินะ ทั้งที่ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังไม่ได้ครอบครองสมบัติของที่นี่ไป”
เมื่อเดินตรงเข้าไปหยุดตรงหน้าเยี่ยซีและอีกสองคน อวิ๋นซื่อเทียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
“คิดจะแย่งมันไปจากพวกเรารึ ?”
สมาชิกตระกูลเยี่ยทั้งสามยืนขวางหน้าเมล็ดพันธุ์และประจันหน้ากับกลุ่มของฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวอย่างเย็นชา
“แย่งงั้นรึ ? มันมิใช่ของ ๆ พวกเจ้าด้วยซ้ำ เจ้าจะใช้คำว่าแย่งได้อย่างไรกัน”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวตอบโต้ สมบัติดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้นไม้โลกทิ้งไว้และไม่มีชื่อของคนตระกูลเยี่ยที่ถูกเขียนไว้อย่างแน่นอน
ตลอดเวลามากกว่าเจ็ดวันที่ผ่านมา พวกเขาทำลายผนึกป้องกันไม่ได้ด้วยซ้ำและนั่นเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามันไม่มีความเกี่ยวโยงกับตระกูลเยี่ยแม้แต่น้อย
“ใช่ การที่มันยังอยู่เช่นนี้มาตลอดเจ็ดวัน เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่ได้ถูกลิขิตให้เป็นของตระกูลเยี่ย พวกเจ้าควรหลบไปจะดีกว่าและให้พวกเราลองทดสอบดู”
เฟิงเป่ยโม่กล่าวขึ้นเช่นกันและไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าจะทำให้ตระกูลเยี่ยขุ่นเคืองใจ ถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นจอมยุทธ์อิสระซึ่งไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ต่อให้มีเรื่องบาดหมางกับตระกูลเยี่ยจริง เมื่อกลับออกไปสู่โลกภายนอก เขาก็ยังสามารถหาที่ซ่อนตัวได้ซึ่งตระกูลเยี่ยไม่มีทางตามหาเขาได้พบ
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือสมบัติที่ถูกทิ้งไว้โดยต้นไม้โลกและนั่นคือเมล็ดพันธุ์สีเขียวที่ดูงดงามตรงหน้านี้เอง หากได้มันมาครอบครอง มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมาก
“เหอะ ไสหัวไปให้พ้น ! สมบัติชิ้นนี้เป็นของตระกูลเยี่ย พวกเจ้าควรหลบไปจะดีกว่า มิฉะนั้น…อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน !”
เยี่ยซีแค่นเสียงในลำคอและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน พวกเขาใช้เวลาศึกษาผนึกตรงหน้ามานานกว่าเจ็ดวันและในที่สุดก็ได้ความคืบหน้าบางอย่างแล้ว เขาไม่มีทางยอมให้มันตกเป็นของคนอื่นไปอย่างแน่นอน
“เหอะ อย่าหาว่าเจ้าไม่เตือนงั้นรึ ? ใครกันแน่ที่จะต้องกลัว การที่พวกเรามีจำนวนมากกว่าเช่นนี้ เกรงว่าตระกูลเยี่ยของเจ้าที่มีเพียงสามคนคงต้องเป็นฝ่ายที่หลีกทางออกไป !”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าววาจายั่วยุและไม่คิดที่จะหลีกทางแม้แต่น้อย
“เราตกลงกันตั้งแต่ต้นแล้วว่าการได้ครอบครองสมบัติของต้นไม้โลกจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน แม้ตระกูลเยี่ยจะเป็นขุมกำลังระดับหนึ่ง ทว่าการทำเช่นนี้ก็ดูจะเผด็จการเกินไป”
หนิงหม่านชางอดกล่าวออกไปไม่ได้ แม้ไม่ได้เปิดศึกกับตระกูลเยี่ยโดยตรง เขาก็ไม่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำของคนเหล่านี้เช่นกัน
“เยี่ยซี ที่นี่มิใช่ถิ่นของตระกูลเยี่ยและทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า หากต้องการจะได้สมบัติสุดท้ายนี้ไปครอง พวกเจ้าก็ต้องแสดงฝีมือออกมา มิใช่มาข่มขู่ผู้อื่นอยู่ที่นี่”
ทัศนคติของไป๋เสี่ยวหลงก็ชัดเจนเช่นกันและไม่ไว้หน้าเยี่ยซีแม้แต่น้อย
“ไม่มีทางซะหรอก !”
เยี่ยซีปฏิเสธทันที แม้พวกเขาจะมีกันเพียงสามคน แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็ยังถือว่ามากที่สุด
สำหรับสมาชิกทั้งสามของตระกูลเยี่ยในครานี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบรรลุถึงขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราและอีกคนอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดารา มีเพียงตัวเขาที่อ่อนแอกว่าและอยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดารา อย่างไรก็ตาม ทักษะยุทธ์ที่เขาฝึกฝนมาก็เป็นทักษะพิเศษ แม้จะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดารา เขาก็ยังมีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุดได้
ส่วนฝ่ายของฉินอวี้โม่มีจอมยุทธ์ที่บรรลุขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราสามคน เทพยุทธ์หกดาราสองคน เทพยุทธ์สี่ดาราหนึ่งคนและคนที่เหลือมีพลังเพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา
ช่องว่างความแตกต่างระหว่างขอบเขตเทพยุทธ์แต่ละดารานั้นเรียกได้ว่ามากมายนัก เว้นแต่ว่าจอมยุทธ์ผู้นั้นจะมีทักษะยุทธ์ที่พิเศษและมีความสามารถในการต่อสู้แบบก้าวกระโดด มิเช่นนั้น จอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะเอาชนะจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราถึงสามคนได้
และสมาชิกของตระกูลเยี่ยผู้ที่บรรลุขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราผู้นั้นก็ยังมีความสามารถในการกระโดดข้ามระดับของตนเองเช่นกัน เพราะเหตุนั้น เขาจึงรับมือกับคู่ต่อสู้ในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราสามคนได้อย่างไม่เป็นปัญหา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้องประจันหน้ากันจริง ๆ ตระกูลเยี่ยก็อาจจะมิใช่เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้เสมอไป
“หนิงหม่านชาง ตระกูลหนิงของเจ้าไม่คิดที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเซิ่งหลิงอีกแล้วรึ ?!”
เยี่ยซีชำเลืองมองไปที่หนิงหม่านชางอย่างข่มขู่ แม้คนอื่น ๆ จะกล้าเปิดศึกกับตระกูลเยี่ยอย่างซึ่งหน้า ทว่าตระกูลหนิงไม่กล้าอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องอาศัยอยู่ในเมืองเซิ่งหลิงและต้องเกรงใจตระกูลเยี่ยเช่นกัน หากทำให้คนตระกูลเยี่ยไม่พอใจ เกรงว่าทั้งตระกูลหนิงอาจต้องเผชิญกับปัญหาร้ายแรง
หนิงหม่านชางส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและแสดงให้เห็นว่าเขาไม่กล้ามีเรื่องกับตระกูลเยี่ยอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การที่เลือกจะไม่ประจันหน้าเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะช่วยเหลือตระกูลเยี่ยเช่นกัน เขาสามารถเลือกที่จะยืนรับชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างและรอดูคนตระกูลเยี่ยเพลี่ยงพล้ำไป
ในเวลานี้ หนิงหม่านชางก็ตัดสินใจถอยหลังออกไปหลายก้าวซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เยี่ยซีก็ยังคงไม่สบอารมณ์เช่นเดิม เดิมทีเขาคิดว่าคำข่มขู่ของเขาจะทำให้ตระกูลหนิงตัดสินใจช่วยเหลือพวกตน ทว่าหนิงหม่านชางและหนิงหม่านโหลวกลับเลือกที่จะถอยออกไปและรับชมการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจากด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาเลือกชมการต่อสู้ก็ยังเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า อย่างน้อยที่สุดนั่นก็หมายถึงคู่ต่อสู้ในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราและขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราได้ลดน้อยลงอย่างละหนึ่งคนซึ่งช่วยให้ตระกูลเยี่ยมั่นใจยิ่งกว่าเดิม
“ฮ่า ๆ ๆ หากต้องการจะแย่งสิ่งใดไปจากพวกข้า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าจะมีฝีมือมากพอรึไม่ !”
หลังจากหัวเราะอย่างเย้ยหยัน เยี่ยซีก็โบกมือส่งสัญญาณให้กับสมาชิกทั้งสองคนและตรงเข้าโจมตีฝ่ายของฉินอวี้โม่ทันที
ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราเข้าประจันหน้ากับคนตระกูลไป๋ทั้งสองคนและจอมยุทธ์อิสระ ในขณะที่จอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราขัดขวางเซิ่งเซียว ซ่งหยางและฟู่อวิ๋นซิวไว้ ส่วนฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนที่เหลืออยู่ก็จะประจันหน้ากับเยี่ยซีนั่นเอง
“เหอะ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าทั้งสองกล่าววาจาดูหมิ่นข้า ตอนนี้ข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าจุดจบของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร !”
เยี่ยซีแค่นเสียงเย็นชาก่อนตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนด้วยแววตาที่แสดงจิตสังหารอย่างชัดเจน
“เหอะ ลั่นวาจาได้อย่างไม่อายปาก ไม่กลัวว่าจะกัดลิ้นตนเองจนขาดรึ ?!”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย้ยหยันและหันไปสบตากับอวิ๋นซื่อเทียนก่อนร่วมมือประสานกันเพื่อโจมตีอีกฝ่าย
นอกเหนือจากหานโม่ฉือ ความเข้าใจฝังลึกที่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนมีต่อกันก็เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่แทบจะสมบูรณ์แบบ ทั้งสองจึงร่วมมือกันเพื่อต่อกรกับคู่ต่อสู้ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราได้อย่างไม่กดดันแม้แต่น้อย
ต่อให้ไม่ใช้ไพ่ตายอย่างระเบิดพลังมายา พวกนางก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเยี่ยซีได้อย่างแน่นอน
“เราไม่ได้สู้ด้วยกันมานานพอตัว”
ในขณะที่ต่อสู้อยู่ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“จริงอย่างที่ว่า ข้าไม่ได้ต่อสู้กับเจ้ามาเป็นเวลานานแล้วและในที่สุดตอนนี้ก็ได้โอกาสเสียที เจ้าโง่นี่…ข้าอยากจะอัดเขาให้น่วมมานานแล้ว !”
อวิ๋นซื่อเทียนพยักหน้าหงึกหงักขณะเร่งความเร็วในการโจมตีของตนและปลดปล่อยกระบวนท่าอย่างไม่ยั้งมือ
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ยอมน้อยหน้าและเร่งความเร็วในการโจมตีของตนเช่นกัน สตรีทั้งสองล้อมรอบเยี่ยซีและไล่ต้อนอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด
ในขณะเดียวกัน เฟิงเป่ยโม่ ไป๋เสี่ยวหลงและคนตระกูลไป๋อีกคนก็ต่อสู้กับจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราของตระกูลเยี่ยได้โดยที่ไม่ตกเป็นรอง
ความแข็งแกร่งของเฟิงเป่ยโม่อยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาและไป๋เสี่ยวหลงก็แข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จอมยุทธ์ตระกูลไป๋อีกคนมีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราและไม่มีพลังมากพอที่ประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ตรง ๆได้ เขาจึงทำได้เพียงหาจังหวะก่อกวนอีกฝ่ายจากด้านข้างส่งผลให้การประจันหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายติดอยู่ในสภาวะชะงักงันและยังไม่สามารถกำหนดผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ
สำหรับจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราที่ต่อสู้กับเซิ่งเซียว ซ่งหยางและฟู่อวิ๋นซิว เดิมทีเขามั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะประมาทพลังการต่อสู้ของอีกฝ่ายมากจนเกินไป
ด้วยการร่วมมือกันของบุรุษหนุ่มทั้งสาม คู่ต่อสู้ในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่ต้นและอยู่ในสภาพที่น่าเห็นใจไม่น้อย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
สีหน้าของบุรุษผู้นั้นเหยเกอย่างที่สุดและไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคู่ต่อสู้ทั้งสามของตนจึงทรงพลังถึงขั้นนี้ !
.
.