ภายในตำหนักใหญ่ของพระราชวัง การต่อสู้ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด
เดิมทีเยี่ยซีมั่นใจว่าการที่ปราศจากการแทรกแซงจากตระกูลหนิงจะช่วยให้ฝ่ายตระกูลเยี่ยของเขาถือไพ่เหนือกว่า คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะกลับกลายเป็นทิศทางตรงข้ามและเหนือความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง
แม้หนิงหม่านชางและหนิงหม่านโหลวจะถอยออกไปและไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะฉินอวี้โม่และพวกได้ในเวลาสั้น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียน หรือกลุ่มของเซิ่งเซียวและอีกสองคนก็ล้วนแสดงให้เห็นถึงพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่ง
“พวกนางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ?!”
ก่อนหน้านี้แม้จะทราบว่าฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามสามารถเอาชนะหนิงหม่านโหลวได้สำเร็จ เยี่ยซีก็ไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรการที่คนถึงสี่คนร่วมมือกันเพื่อเอาชนะจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราเพียงคนเดียวก็มิใช่พรสวรรค์ที่น่าทึ่งจนเกินไป
แท้ที่จริงแล้ว การที่ฉินอวี้โม่และทุกคนร่วมมือกันจนบีบไล่ต้อนหนิงหม่านโหลวได้ในครานั้น มันก็เป็นเพียงเพราะอีกฝ่ายยังไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เพราะเหตุนั้นมันจึงมิใช่ผลงานที่ควรค่าแก่การกล่าวชม
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้กับพวกนางด้วยตัวเองในวันนี้ทำให้เยี่ยซีตระหนักถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และสหายอย่างแท้จริง
ความแข็งแกร่งของตัวเขาอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราขั้นสูงสุด ในขณะที่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนเป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้ต้องประชันฝีมือกับยอดอัจฉริยะของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีระดับพลังเหนือกว่าเขา เยี่ยซีก็มั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน ทว่าการต่อสู้กับสตรีทั้งสองในตอนนี้กลับทำให้เขารู้สึกไร้พลังโดยสิ้นเชิง
การเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนนั้นรวดเร็วอย่างยิ่งและทั้งสองมีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชน ด้วยเหตุนี้ เยี่ยซีจึงต้องเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น การประสานงานระหว่างนางและอวิ๋นซื่อเทียนสอดคล้องกันอย่างยอดเยี่ยมซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งสองเคยผ่านสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนและสามารถจู่โจมจุดสำคัญของคู่ต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ
สิ่งที่ทำให้เยี่ยซีผู้โอหังต้องจนปัญญายิ่งกว่าคือแรงกดดันในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราของเขาไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนแม้แต่น้อย
ความเร็วในการโจมตีของพวกนางยังคงรวดเร็วเช่นเดิมและมีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
หลังจากปะทะกันนับร้อยกระบวนท่า ในที่สุดเยี่ยซีก็ค่อย ๆ กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
“บัดซบ !”
เขาตะโกนกร้าวก่อนเรียกอสูรมายาคู่กายออกมาเพื่อร่วมมือกันโจมตีคู่ต่อสู้
“ฮ่ าๆ ๆ เจ้าคิดว่าพวกข้าไม่มีอสูรมายางั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนสบตากันก่อนเผยรอยยิ้ม อวิ๋นซื่อเทียนก็ไม่คิดที่จะเรียกอสูรของตนออกมา ทว่าในเวลานี้ซิวปรากฏตัวออกมาและโจมตีอสูรมายาของเยี่ยซีแล้ว
แม้ความแข็งแกร่งภายนอกของซิวจะไม่มากเท่ากับอสูรมายาของเยี่ยซี ทว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของมันก็เหนือชั้นเกินกว่าที่อสูรธรรมดาทั่วไปจะเทียบด้วยได้ ดูเหมือนว่ามันจงใจเล่นสนุกกับอสูรของเยี่ยซีและเพียงโจมตีอย่างใจเย็นโดยไม่รีบร้อนที่จะเอาชนะ
“อวี้โม่ อย่าเสียเวลาเล่นกับเขาอีกเลย”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวกับฉินอวี้โม่และไม่คิดที่จะยั้งมืออีกต่อไป
เนื่องจากไม่ทราบว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใดในพระราชวังแห่งนี้หรือไม่ อีกทั้งพวกนางก็ยังต้องเดินทางไปที่จวนตระกูลเยี่ยในเมืองเซิ่งหลิงโดยเร็วที่สุด เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่นานจนเกินไป
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเข้าใจทันทีและไม่ต้องการเสียเวลาอีกเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็ปลดปล่อยกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเข้าใส่เยี่ยซีทันที
สำหรับการต่อสู้ของคนอื่น ๆ ทุกคนก็แสดงกระบวนท่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกตนออกมาเช่นกันและตั้งใจที่จะยุติการต่อสู้ให้ได้โดยเร็ว
การต่อสู้ที่กำหนดผู้แพ้ผู้ชนะได้อย่างชัดเจนเป็นคู่แรกคือการประจันหน้าระหว่างกลุ่มสามคนของเซิ่งเซียวและจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราจากตระกูลเยี่ย
ทั้งสามก็ทรงพลังกันอย่างยิ่งและล้วนมีไพ่ตายซ่อนไว้ ด้วยการโจมตีอย่างเต็มกำลังของพวกเขา สมาชิกตระกูลเยี่ยในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราผู้นั้นก็ไม่อาจต้านทานได้เลย
เมื่อถูกโจมตีด้วยพลังของคนทั้งสามจนกระเด็นออกไป จอมยุทธ์ตระกูลเยี่ยผู้นั้นก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
“แม่เจ้า ! เหตุใดพวกเขาถึงได้แข็งแกร่งกันยิ่งนัก !”
คนอื่น ๆ ที่รออยู่ด้านนอกมองเห็นสถานการณ์ในพระราชวังได้อย่างชัดเจนและถึงกับอุทานด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นบุรุษทั้งสามเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังมากถึงขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราได้
“จอมยุทธ์เหนือมนุษย์เหล่านี้มาจากที่ใดกัน…เหตุใดถึงได้ทรงพลังยิ่งนัก ?”
หลายคนเริ่มสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของฉินอวี้โม่และคณะมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยพลังการต่อสู้ที่แกร่งกล้าเช่นนี้ แม้แต่บรรดาอัจฉริยะของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องยอมก้มหัวให้
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จะต้องมิใช่บุคคลนิรนามถึงจะถูก
เวลานี้ ทุกคนก็เริ่มคาดเดาตัวตนของพวกนางไปตาม ๆ กัน
หรือว่าคนเหล่านี้จะเป็นศิษย์ของจอมยุทธ์ลับที่ตัดขาดจากทางโลก…
แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อมโยงฉินอวี้โม่กับดินแดนมหาเทพได้ ถึงอย่างไรแล้วในสายตาของคนจากดินแดนระดับสูงล้วนมองคนจากดินแดนระดับต่ำกว่าเป็นเพียงมดปลวกด้อยค่า ต่อให้จะกล่าวว่าฉินอวี้โม่และพวกเป็นจอมยุทธ์มากพรสวรรค์จากดินแดนที่ต่ำกว่า พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
ภายในพระราชวัง การต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายเข้าใกล้จุดสิ้นสุดเต็มที
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังการต่อสู้อันดุดันและเกรี้ยวกราดของฉินอวี้โม่และสหาย คนตระกูลเยี่ยก็ตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบและมิใช่คู่มือแม้แต่น้อย
“นายน้อย ล่าถอยกันก่อนเถอะขอรับ !”
จอมยุทธ์ตระกูลเยี่ยผู้มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราขมวดคิ้วมุ่นและมีความคิดที่จะถอนกำลังออกไป
แม้ใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่มีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถคว้าชัยชนะในการต่อสู้ครานี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ยังมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้เช่นกันและการดึงดันสู้ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีทางทำให้สถานการณ์ของพวกเขาดีขึ้นได้
“เราไปรอดักจู่โจมคนพวกนี้ข้างนอกเถอะขอรับ ต่อให้พวกนางได้สมบัติไป พวกนางก็ไม่มีทางเอามันออกไปจากซากปรักหักพังได้แน่ !”
เขาสื่อสารกับเยี่ยซีผ่านทางกระแสจิตด้วยน้ำเสียงแสดงเจตนามุ่งร้ายอย่างชัดเจน
เยี่ยซีเองก็ตระหนักแล้วว่าพวกตนทั้งสามไม่สามารถเอาชนะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ยังมีคนตระกูลเยี่ยอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังรออยู่ข้างนอก เมื่อฉินอวี้โม่และคณะออกไป พวกเขาก็จะมีโอกาสแย่งชิงและสุดท้ายสมบัติก็จะตกเป็นของพวกเขาอยู่ดี
“เหอะ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน !”
เยี่ยซีแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงข่มขู่ก่อนนำคนตระกูลเยี่ยอีกสองคนออกไปจากพระราชวังไปอย่างรวดเร็ว
“เราก็ไปกันเถอะ”
คนตระกูลหนิงทั้งสองคนก็หันหลังและออกจากพระราชวังไปเช่นกัน
เวลานี้ภายในพระราชวังของต้นไม้โลกก็เหลือเพียงฉินอวี้โม่และสหาย รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตรต่อกัน
“เหอะ เยี่ยซีวางแผนที่จะรอดักโจมตีพวกเราข้างนอกแน่ !”
ไป๋เสี่ยวหลงคาดเดาความคิดของเยี่ยซีได้ทันที ทว่าไม่สนใจเท่าใดนัก
แม้ข้างนอกมีคนตระกูลเยี่ยอีกเป็นจำนวนมาก ทว่าคนตระกูลไป๋ของเขาก็รออยู่เช่นกัน อีกทั้งยังมีจอมยุทธ์อิสระอีกไม่น้อย เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้สถานการณ์จะโกลาหลวุ่นวาย ตระกูลเยี่ยก็ไม่มีทางทำสิ่งใดตามอำเภอใจได้
“เอาล่ะ ปล่อยวางเรื่องของเขาไปก่อนเถอะ เรามาดูกันว่าสิ่งนี้คืออะไร”
สายตาของเขาหยุดลงที่วัตถุสีเขียวที่ดูเหมือนเมล็ดพันธุ์บางอย่างและกล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้
“นี่คือเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกอย่างนั้นหรือ ?”
เฟิงเป่ยโม่เอ่ยถามเช่นกัน ที่นี่คือพระราชวังของต้นไม้โลกในอดีตและสมบัติตรงหน้าคือเมล็ดพันธุ์ เป็นธรรมดาที่เขาจะตั้งข้อสันนิษฐานเช่นนี้ขึ้นมา
“ข้าก็ไม่มั่นใจ รอบ ๆ เมล็ดพันธ์ุนี้มีผนึกป้องกันอยู่และไม่ง่ายเลยที่จะทำลายมัน”
หากสามารถทำลายผนึกป้องกันได้ง่าย ๆ เยี่ยซีและจอมยุทธ์ตระกูลเยี่ยคงไม่ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานกว่าเจ็ดวันโดยที่ไม่มีความคืบหน้าใด
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็ส่งกระแสจิตสื่อสารกับบรรดาอสูรของตนภายในคฤหาสน์เฟิงหัว
“เจ้าตัวน้อย นั่นคือเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกรึ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกที่ตอนนี้ดูเหมือนผลมันฝรั่ง เนื่องจากคิดว่าเมล็ดพันธุ์สีเขียวนี้คงจะมิใช่เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลก
เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกก็เหมือนจะมีสติปัญญาพอสมควรและเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้อย่างง่ายดาย มันลอยตัวขึ้นกลางอากาศและหมุนวนหลายครั้งซึ่งไม่อาจเข้าใจความหมายของมันได้เลย
“มันคงจะมิใช่เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลก ต้นไม้โลกเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษและเมล็ดพันธุ์เพียงหนึ่งเดียวของมันก็อยู่ที่นี่แล้ว”
ซิวก็ไม่เข้าใจความหมายที่เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกพยายามจะสื่อเช่นกัน ทว่ามันแทบที่จะมั่นใจเต็มร้อยว่าเมล็ดพันธุ์สีเขียวลึกลับนั่นมิใช่เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกอย่างแน่นอน
ต้นไม้โลกเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษและมีเอกลักษณ์ มันย่อมมีเมล็ดพันธุ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นและไม่มีทางที่จะมีเมล็ดที่สองได้
สิ่งที่มั่นใจได้ในตอนนี้คือเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวคือเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกที่แท้จริง ส่วนเมล็ดพันธุ์สีเขียวภายในผนึกป้องกันข้างนอกนั้นยังมิอาจทราบได้ว่ามันคือสิ่งใด…
.
.