ตอนที่ 2207 สวรรค์มีตา!

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

เวลานี้ตะวันส่องแสงสูงเหนือหัวภายในร้านอาหารจันทร์แจ่มนั้นเปี่ยมล้นด้วยผู้คนที่ต่างพูดกล่าวเรื่องราวของตนออกมาจนแทบไม่อาจฟังออกได้ว่าเสียงของใครเป็นเสียงใคร

ในฐานะร้านอาหารอันดับหนึ่งของเมืองจักรพรรดิมังกรศิลา ที่แห่งนี้มันจึงเป็นแหล่งที่มีผู้คนเดินทางไกลจากทั่วแดนมานั่งลงพักกินอาหารกัน

ในเวลานี้มันมีโต๊ะหนึ่งที่นั่งรายล้อมด้วยนักยุทธถึงห้าคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ชายผู้มีแผลยาวบนใบหน้ากล่าวขึ้นมา “พวกเจ้าได้ยินกันมาหรือไม่? หลายปีก่อนมันมียอดคนปรากฏตัวขึ้นที่ทางแดนตะวันออกของเมืองจักรพรรดินครเมตตา!”

เมื่อเขาพูดเปิดหัวเรื่องมาเช่นนี้ทุกผู้คนต่างก็ย่อมจะหันมามองด้วยความสนใจ

ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะกันนั้นจึงได้ร้องถามขึ้นอย่างสงสัย “พี่ปา ท่านนั้นเป็นคนที่รู้เรื่องราวมากที่สุด ไหนลองเล่ามาหน่อยสิว่ามันเป็นยอดคนแบบใด”

พี่ปาจึงได้หัวเราะกลับมา “ยอดคนผู้นี้มิใช่คนจากเมืองจักรพรรดินครเมตตา แต่เขานั้นเป็นคนจากหมู่บ้านกลางเขาในดินแดนของเมืองจักรพรรดินครเมตตา! เขานั้นมีนามว่าอาจารย์หนิง เป็นยอดฝีมือผู้มีวิชาโอสถเหนือฟ้าดิน!”

เพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนจึงได้กล่าวขึ้นมาขัด “ฮ่าๆ พี่ปา เจ้าก็จะพูดจาไร้สาระไปแล้ว! ยอดคนใดมันจะเกิดขึ้นมาในหมู่บ้านกลางเขาได้?”

เมื่อทางพี่ปาได้ยินเขาก็ยิ้มเยาะออกมาทันที “เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร?! อาจารย์หนิงที่ข้าพูดถึงผู้นี้เขาได้ปรากฏตัวสู่โลกหล้าเมื่อประมาณหกสิบปีก่อนพร้อมเปลี่ยนคนสามัญในหมู่บ้านน้อยๆ กลางเขานั้นให้กลายเป็นนักยุทธอาณาจักรปฐมพระเจ้าสิ้นในคืนเดียว! ในเวลานี้เวลาผ่านไปกว่าหกสิบปีเหล่านักยุทธที่ติดตามรับใช้เขานั้นก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรราชันพระเจ้ากันสิ้น! หมู่บ้านน้อยๆ นั้นมันได้กลายเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยราชันพระเจ้าไปแล้ว!”

เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาคนทั้งสี่ที่เหลือต่างก็ต้องเบิกตากว้างสูดหายใจลึก

เปลี่ยนคนสามัญทั้งหมู่บ้านให้กลายเป็นราชันพระเจ้า มันเป็นเรื่องราวเช่นใด?

ในเวลาแค่หกสิบปีการจะเปลี่ยนให้สามัญชนกลายเป็นราชันพระเจ้านั้นมันเป็นสิ่งที่ทำได้หรือ?

เพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนจึงได้กล่าวขึ้นมาพร้อมส่ายหัว “พี่ปา เจ้า… เจ้าเองก็พูดจาไร้สาระแล้ว เรื่องราวเช่นนั้นต่อให้จะเป็นจอมเทพโอสถหกดาวมันก็คงไม่มีทางทำได้หรอกใช่หรือไม่?”

พี่ปาคนนั้นยกเหล้าขึ้นมาซดก่อนจะเล่าต่อ “เพราะฉะนั้นข้าจึงได้บอกไงว่าเขานั้นเป็นยอดคน! เวลานี้เหล่าคนใหญ่คนโตจากเมืองจักรพรรดิรอบๆ ต่างไปรวมตัวกันที่หมู่บ้านนั้นสิ้น! เมืองจักรพรรดิมังกรศิลานั้นอยู่ไกลจากเมืองจักรพรรดินครเมตตาทำให้ได้ยินข่าวช้า ทีแรกข้าเองก็ไม่คิดจะเชื่อเหมือนพวกเจ้านี่แหละแต่สหายของข้าผู้หนึ่งได้เดินทางไปถึงที่หมู่บ้านนี้เพื่อขอรับโอสถ จนสุดท้ายก็ถึงขั้นบรรลุขึ้นมาได้!”

คำพูดนี้มันทำให้คนทั้งหลายต้องอ้าปากค้าง!

พี่ปาผู้นี้เป็นถึงราชันพระเจ้าสามดาว การที่จะเป็นสหายกับเขาได้มันย่อมจะหมายความว่าอีกฝ่ายนั้นย่อมเป็นราชันพระเจ้าเช่นกัน

การทำให้ราชันพระเจ้าบรรลุขึ้นได้ง่ายๆ เช่นนั้นมันย่อมมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้

“พี่ปา ยอดคนเช่นนี้มีหรือที่จะไปขอให้เขาช่วยหลอมโอสถได้ง่ายๆ?” เสียงแห่งความสงสัยได้ถามขึ้น

พี่ปาคนนั้นจึงยิ้มตอบ “ไหนเมื่อกี้เจ้ายังไม่เชื่อมิใช่หรือ?”

คนถามจึงได้แต่ต้องยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา “มันมิใช่ว่าข้าไม่เชื่อถือเลย แต่เรื่องราวเช่นนี้ใครจะไปเชื่อลงได้ง่ายๆ!”

ทางพี่ปาคนนั้นเองเมื่อได้โอกาสก็จึงเผยยิ้มออกมาด้วยความอวดรู้ “การขอให้อาจารย์หนิงหลอมโอสถให้นั้น จะว่าง่ายมันก็แสนง่าย แต่จะว่ายากมันก็แสนยาก อยู่ที่ว่าพวกเจ้าจะมีปัญหาทำตามใจเขาได้หรือไม่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นมันถึงเกิดคำถามขึ้นมาอีกครั้ง “โห? หมายความว่าอย่างไรกันเล่า?”

พี่ปาคนนั้นจึงยิ้มตอบกลับมา “อาจารย์ผู้นี้ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากตำราวิชาโอสถ! หากเจ้ามีตำราโอสถแล้วเขาก็จะช่วยหลอมโอสถให้เจ้าอย่างไม่อิดออดใดๆ เพียงแค่ว่าปีก่อนๆ มันอาจจะยังง่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้าตำราที่อาจารย์ผู้นี้มันก็ยิ่งจะเพิ่มพูนขึ้นจนเริ่มที่เล่มที่ซ้ำกันขึ้นเรื่อยๆ มันจึงเป็นการยากขึ้นมากหากคิดจะขอให้เขาช่วยหลอมโอสถ สหายของข้าผู้นั้นเองก็แค่โชคดีเคยได้ตำราวิชาโอสถมาในสมัยเด็กๆ และพอดีว่าเป็นเล่มที่อาจารย์เขาไม่มีจึงได้รับโอกาสมาด้วยโชคล้วนๆ”

ทุกผู้คนที่ได้ยินจึงร้องขึ้นมาแทบพร้อมๆ กัน “ที่แท้มันเป็นเช่นนั้น!”

แต่ทางพี่ปากลับยังไม่คิดจะหยุดพูดด้วยท่าทางอวดรู้ “ที่สำคัญไปกว่านั้นคือข้าได้ยินมาว่าอาจารย์หนิงผู้นี้ไม่มีปราณเทวะใดร่างกายใดๆ เขานั้นใช้เพียงแค่ค่ายกลในการหลอมโอสถ! แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นโอสถที่เขาหลอมออกมานั้นมันก็มีคุณภาพสูงส่งไม่เคยจะตกต่ำกว่าขั้นเทวะเลย! โอสถใดๆ ที่เขาเคยหลอมมานั้นต่างมีราคาสูงลิบที่สำคัญคือไม่อาจจะหาซื้อได้ง่ายๆ เสียด้วยซ้ำ!”

เมื่อเหล่าเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งหลายได้ยินพวกเขาก็ต้องเดาะลิ้นอย่างลำบากใจ

ไม่ไกลจากโต๊ะที่คนทั้งห้านั่งกินกันอยู่นี้มันมีชายหญิงสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง

หญิงสาวคนนั้นใส่ผ้าปิดคลุมใบหน้าไว้ด้วยร่างกายที่สั่นเทา

ฝ่ายชายนั้นได้ถอนหายใจยาวพร้อมกล่าวขึ้น “ยิ่งตั้งความหวังมาก มันก็ยิ่งจะผิดหวังมาก! คนที่พวกเขาทั้งหลายพูดถึงนี้คือ ‘อาจารย์หนิง’”

หญิงสาวที่ได้ยินเช่นนั้นก็สงบสติลงได้ทันที “ต่อให้ข้าจะต้องบุกเขาผ่าแผ่นดินหาข้าก็ต้องตามหานายน้อยให้เจอ!”

ฝ่ายชายจึงได้แต่ต้องถอนหายใจยาว “ข้าล่ะอิจฉาเขาจริงๆ มีคนเช่นพวกเจ้าทั้งหลายนี้รักมากมายปานนี้”

พูดจบชายคนนั้นก็วางผลึกปราณเทวะลงบนโต๊ะพร้อมกล่าว “ไปเถอะ ข้าหวังว่าครั้งนี้มันจะไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าอีก”

หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินหายจากร้านจันทร์แจ่ม

กว่าหกสิบปีมานี้หมู่บ้านน้อยๆ นั้นมันได้กลายเป็นที่สุดแสนคึกคักแหล่งรวมผู้คน

หมู่บ้านตระกูลเฉินนั้นมียอดฝีมือไปมาอยู่มากมายในแต่ละวัน

หกสิบปีมานี้อาจารย์หนิงมีชื่อเสียงดังลั่นลือไปทั่วแดน เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างเดินทางมาเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากเขาสิ้น

มันถึงขั้นทำให้เมืองหลวง เมืองจักรพรรดิและแม้แต่เมืองหลวงจักรพรรดิทั้งหลายต้องหันมาสนใจ

เวลาแค่หกสิบปีนี้นอกจากการหลอมโอสถแล้วเย่หยวนก็ทำเพียงแค่สิ้นเดียว นั่นคือการอ่าน!

ตำราโอสถทั้งหลายนั้นถูกเก็บไว้จนเต็มบ้านหลังใหญ่เป็นห้องสมุดขนาดย่อม และในทุกๆ วันเขาก็จะใช้เวลเกือบทั้งหมดไปในที่แห่งนี้

เขานั้นไม่อาจจะจดจำเรื่องราวใดๆ ในกาลก่อนได้แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหมือนจะนึกเรื่องราวเหล่านั้นออกมันก็คือการหลอมโอสถและอ่านอ่านตำราโอสถทั้งหลายนี้

เมื่อได้ลองอ่านวิชาความรู้จากทั่วทุกมุมโลก ความรู้ที่เย่หยวนมีมันก็ยิ่งเติบโตขึ้นมากกว่าเก่า

เพราะนี่คือวิธีการหาความรู้จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้เต๋าโอสถของเย่หยวนได้พัฒนาไปอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจรู้ตัวได้

ด้วยพลังการหลอมโอสถที่เย่หยวนแสดงออกกมานั้นมันย่อมจะเคยได้มีคนร้ายที่หมายทำเรื่องไม่ดีงามอยู่บ้าง

แต่วันหนึ่งได้มีนภาสวรรค์ที่คิดไม่ดีมาถึงยังหมู่บ้านนี้และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นับตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าจะมาหาเรื่องกับหมู่บ้านตระกูลเฉินอีก

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า อาการบาดเจ็บของเย่หยวนก็ยิ่งฟื้นตัวมากขึ้น

แม้ว่าจนทุกวันนี้ร่างกายของเขาจะยังไม่อาจสะสมปราณได้แต่ด้วยเวลากว่าหกสิบปีนี้มันก็ทำให้ร่างกายเนื้อของเขานั้นฟื้นคืนกลับมาได้ราวสามสิบถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

แน่นอนว่านักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ทั่วๆ ไปย่อมไม่อาจทำเรื่องราวใดๆ แก่เขาได้

“อาหนิง มีคนมาขอโอสถอีกแล้ว! ครานี้พวกเขาว่าตนเองมีตำราที่หมู่บ้านเราไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน!” อาซิ่วเดินเข้ามาบอกเย่หยวนด้วยสีหน้าร่าเริง

เย่หยวนจึงวางแผ่นหยกในมือลงก่อนจะเบิกตากว้างถามขึ้น “เช่นนั้นหรือ? หากให้พูดถึงตำราโอสถที่ข้ามีเวลานี้ สิ่งที่ข้าขาดไปมันคงมีอีกไม่มากแล้ว เวลาหกสิบปีมานี้ นานวันเข้าข้าก็แทบจะไม่ได้เจอตำราที่ไม่เคยอ่านมาก่อนอีก! รีบๆ พาข้าไปหาพวกเขาเถอะ!”

อาซิ่วพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำเย่หยวนไป

ผู้มาถึงนี้เป็นคู่ชายหญิง เมื่อเย่หยวนเห็นคนทั้งสองเขาก็รีบยกมือขึ้นมาคารวะอีกฝ่าย “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าท่านทั้งสองคิดอยากได้โอสถใดหรือ?”

ชายหญิงคู่นั้นไม่ได้กล่าวตอบใดๆ มาแต่สายตาของคนทั้งสองต่างจ้องมองเย่หยวนอย่างไม่อาจขยับด้วยร่างกายสั่นเทา

ฝ่ายหญิงสาวนั้นรีบยกมือขึ้นเปิดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นใบหน้าสวยงามปานเทพธิดา

เมื่ออาซิ่วได้เห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอับอายในตัวขึ้นมา

เพราะใบหน้าของนางผู้นี้มันสวยงามจนแม้แต่นางก็ยังต้องหลงใหล หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ก็มีได้หรือ?

แต่ทว่าสีหน้าของหญิงสาวนางนี้มันไม่ปกติ

ดวงตาของนางนั้นเบิกกว้าง เมื่อเปิดหน้าออกมานั้นดวงตาของนางกลับมีน้ำตาไหลนอง

นางนั้นจ้องมองดูเย่หยวนด้วยลมหายใจที่สั่นรัว “นายน้อย ลู่เอ๋อรู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องรอดออกมาได้!”

………………………