มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1065

“ใช่แล้ว ช่าจื่อเยียน ทางที่ดีเจ้าเอาสมบัติชิ้นนั้นออกมาเสีย ไม่ใช่นั้นเมื่อรายงายให้เบื้องบนรู้ สำนักเทียนช่าเบื้องหลังเจ้าก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกร่างแหไปด้วย!”

“สามหาว! พวกเจ้ามีหลักฐานอะไร?” ซุ๋นซินเหลียนตะโกนด้วยความโกรธ

“หลักฐาน? นี่ยังจำเป็นต้องมีหลักฐานอีกหรือ? เทพปีศาจสยบนภากับเทวมังกรเขาทองต่างก็ตายไปแล้ว มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่รอดออกมาได้ สมบัติก็สูญหายไปด้วย นอกจากนางแล้ว ยังจะไปตกอยู่ในมือใครได้อีก?”

“วันนี้หากไม่มอบสมบัติออกมา พวกเจ้าไม่ว่าใครก็อย่าคิดที่จะออกไปจากที่นี่!” เทพมารทุกคนของเผ่าพันธุ์มารต่างก็พากันหัวเสียขึ้นมา

“ปากดีเสียเหลือเกิน ข้าจะรอดูว่าใครหน้าไหนที่จะทำเช่นนั้นได้!” ซุ๋นหวู่หยาพูดเสียงเย็น กฎพลังเทพปรากฏขึ้นด้านหลังร่างของเขา

ข้อพิพาทของเทพมาร หลัวซิวไม่สามารถพูดอะไรได้อยู่แล้ว อีกทั้งในเวลานี้ เขาก็ไม่สามารถเอาเรื่องที่ตนได้รับใจแห่งศุภรพูดออกไปได้

เขานั่งขัดสมาธิอยู่หลังเทพมารอสูรเหยี่ยวทอง หมุนเวียนวิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ฟื้นฟูบาดแผลที่เทพมารอสูรสิงห์ทองทิ้งเอาไว้ตอนที่ต่อสู้กัน

เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ หากไม่มีลูกแก้วความเป็นตายและตำหนักจื่อเซียวค่อยคุ้มกันตัวหยั่งรู้ เช่นนั้นการโจมตีของมหาพระแสงทองก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นเถ้าธุลี

แต่ก็เพราะโชคร้ายจึงได้รับโชคดี ผู้เป็นอมตะถูกกระตุ้น เขาพลิกมือหยิบแก้วเทวสองสามชิ้นที่ได้รับมาจากโซนแดนปริศนา ดูดซับพลังบริสุทธิ์ที่อยู่ภายใน ออกมาใช้เพื่อยกระดับผลการฝึกตน

ผ่านไปไม่นาน เขาก็สัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนของตนได้บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ตลอดเวลา

เมื่อเทียบร่างเนื้อกับผลการฝึกตน ด้วยตัวสำนึกของเขาดูดซับพลังงานที่แฝงอยู่ในช่องจิตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในวันนี้ได้บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหกแล้ว ไม่นานก็จะบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย

โดยไม่คาดคิด หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ถึงพลังแห่งสวรรค์ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ตรึงตัวเขาเอาไว้

มหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นแดนสูงสุดที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถบรรลุได้ อีกขั้นหนึ่งก็จะออกจากขอบเขตของมนุษย์ กลายเป็นเทพมาร

จากเจ้ายุทธจักรบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ จะได้รับบัพติศมาของทัณฑ์สายฟ้า จากสวรรค์ ทำให้ร่างเนื้อและเทพจิตถูกขัดเกลาจนถึงขีดสุด ทำให้รากฐานมั่นคงเพื่อกลายเป็นเทพมาร

มีเพียงร่างเนื้อและเทพจิตที่ผ่านการบัพติศมาของทัณฑ์สายฟ้า จากสวรรค์เท่านั้น จึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพมาร

“ช่าจื่อเยียน ในเมื่อเจ้ายังยึดมั่นหลงผิด พวกเราก็จะกลับไปรายงานต่อเบื้องบน!”

ระหว่างที่หลัวซิวดำดิ่งอยู่ในการฝึกตนนั้น การพิพาทของสามเผ่าพันธุ์เทพมาร ในท้ายที่สุดการเจรจาก็ล้มเหลว

เผ่าปีศาจมารทั้งสองเผ่าพันธุ์ต้องการให้ช่าจื่อเยียนมอบสมบัติชิ้นนั้นออกมา ยืนยันแน่นอนว่าเมื่อหลายปีก่อนนางได้เอาสมบัติล้ำค่าในพระราชวังไป หมายจะเก็บเอาไว้เป็นของตนเอง

แต่ช่าจื่อเยียนไม่เคยเข้าไปในพระราชวังเลย แน่นอนว่าต้องปฏิเสธไม่ยอมรับ ทั้งสองฝ่ายเกือบจะสู้กันขึ้นมาอีกครั้ง

ใบหน้าของนางนิ่งไม่อาจคาดเดาได้ หากถูกโลกาอสูรฟ้าและโลกานานาอสูรตัดสินไปแล้วว่านางเป็นคนซ่อนสมบัติชิ้นนั้นเอาไว้ เช่นนั้นก็จะต้องสะเทือนไปถึงผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นที่มหาโลกา แม้แต่สำนักเทียนช่าต่างก็ต้องถูกตรวจสอบ ติดร่างแหไปด้วยโดยไม่มีความจำเป็น

“สมบัติไม่อยู่ในพระราชวัง เช่นนั้นมันจะไปอยู่ที่ใด?” ช่าจื่อเยียนขมวดคิ้วเรียวงามนั้น แผนการสำหรับตอนนี้ก็มีเพียงต้องตามหาสมบัติชิ้นนั้นว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่ จึงจะสามารถลบล้างคำครหาบนตัวนางได้

เหล่าเทพมารมาเพื่อหวังในโชคดี ท้ายที่สุดกลับต้องกลับไปด้วยความโชคร้าย สองมือว่างเปล่า มหาสงครามสามเผ่าพันธุ์ ทำให้เหล่าเทพมารตายไปจำนวนมาก ทุกคนต่างรู้สึกหนักใจกันถ้วนหน้า

ในตอนที่ทะลุผ่านทางเหนือนภาอีกครั้ง อสูรดูดจิตโบราณไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีก เทาเที่ยเทพมารอสูรตนนั้นต่างก็เข้าไปตามหาในอนัตตา ก็ไม่สามารถค้นหาร่องรอยของอสูรดูดจิตโบราณได้พบ

ไม่นานนัก กลุ่มคนเหล่านี้ก็กลับมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวเอ่ยกับช่าจื่อเยียนเรื่องที่ตนอยากไปที่โลกแสงดาวเกณฑ์กฎเพื่อฝึกตน