มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1064

“ยังไม่ตายอีก?”

เทพมารอสูรสิงห์ทองเห็นว่าพลังอมตะของตนโจมตีเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่าย แต่ไอ้หนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนี้กลับยังสามารถยืนอยู่บนหลังของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองได้อย่างปลอดภัย อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าที่ยากจะเชื่อ

“ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารช่วงปลาย หากถูกพลังอมตะของข้าโจมตีเข้าที่ตัวหยั่งรู้ก็ยังต้องสูญสลายไป ที่ตัวหยั่งรู้ของไอ้หนุ่มคนนี้มีสมบัติที่แข็งแกร่งซ่อนเอาไว้ ดังนั้นจึงสามารถคลายพลังอมตะของเทพมารอสูรอย่างข้าได้!”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เทพมารอสูรสิงห์ทองก็แววตาเป็นประกาย รีบเร่งความเร็วไล่ล่าหลัวซิวต่อในทันที

ถึงแม้จะมีลูกแก้วความเป็นตายช่วยทำให้ตัวหยั่งรู้สงบนิ่งลงได้ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนั้น แต่หลัวซิวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงตา หู จมูก และปาก มีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

เขารู้สึกว่าการรับรู้ของเขาค่อย ๆ ดับวูบลงไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังกัดฟันเอาไว้แน่น ไม่ให้ตนหมดสติไปในตอนนี้

ผลการฝึกตนของเทพมารอสูรสิงห์ทองสูงกว่าเทพมารอสูรเหยี่ยวทองมาก อีกทั้งที่แห่งนี้ยังไม่สามารถบินได้ ดังนั้นเทพมารอสูรสิงห์ทองใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถตามได้ทัน

ในขณะเดียวกัน ภายใต้คำสั่งของหลัวซิว เทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็บินมาถึงบริเวณใกล้ ๆ กับสนามรบที่ช่าจื่อเยียนและผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นสูงปะทะกันอยู่

ภายใต้บัญชาของช่าจื่อเยียน เหล่าเทพมารพากันออกโรงต่อสู้ ช่วยเขาต้านเทพมารอสูรสิงห์ทองเอาไว้ได้

“เจ้าเทพมารอสูรเหยี่ยวทองนี่มันเรื่องอะไรกัน?” บนร่างของงูมรณาจิ่วหยินเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เห็นได้ชัดว่ามหาสงครามเมื่อครู่ เขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย

“ครั้งก่อนข้ามาที่แดนปริศนาแห่งนี้ เทพมารอสูรตนนี้กับเทพปีศาจอีกตนต่อสู้กันจนบาดเจ็บสาหัส ข้าจึงได้โอกาส ทำให้เขายอมจำนน” หลัวซิวอธิบายออกมาแบบส่ง ๆ

“มันว่างเปล่า!”

ทันใดนั้น น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตกใจก็ลอยมาจากพระราชวังทองคำบนยอดเขา เจ้าของเสียงทั้งสองนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นซุ๋นซินเหลียนและนักค่ายเทพแห่งเผ่าปีศาจตนนั้น

“พี่หญิง ภายในพระราชวังนั่นนอกจากโครงกระดูกร่างหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย”

ซุ๋นซินเหลียนรีบบินออกมาจากภายในตำหนัก วิชาห้ามค่ายกลมากมายกลางอากาศถูกนางคลายออกได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งมาถึงข้างกายของช่าจื่อเยียน

“ไม่มีสิ่งใดเลย?” ช่าจื่อเยียนหน้าถอดสี สามเผ่าพันธุ์เทพมารสูญเสียพลังมหาศาลกว่าจะเดินมาถึงในจุดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการมาเสียเที่ยว

“มันว่าเปล่าจริง ๆ มีเพียงโครงกระดูกหนึ่งร่างเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก” นักค่ายเทพแห่งเผ่าปีศาจตนนั้นก็พูดเช่นเดียวกัน

หากซุ๋นซินเหลียนคนเดียวที่พูดออกมาเช่นนี้ ยังจะสามารถทำให้ทุกคนสงสัยได้ แต่นี่แม้แต่นักค่ายเทพแห่งเผ่าปีศาจก็ยังพูดเช่นนี้ด้วย นั่นก็สามารถยืนยันได้ว่า สมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพ ไม่ได้อยู่ที่นี่จริง ๆ

“เฮอะ ช่าจื่อเยียน หลายปีก่อนมีเพียงเจ้ากับเทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองไปยังพระราชวังแห่งนี้ด้วยกัน เทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองต่างก็ตายไปแล้ว มีเพียงเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ สมบัติชิ้นนั้นก็มีโอกาสถึงเก้าในสิบที่จะตกไปอยู่ในมือของเจ้าจริงหรือไม่?”

“พูดถูกแล้ว แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหาโลกาก็ยังสนใจในสมบัติชิ้นนี้ ช่าจื่อเยียนเจ้าคงไม่ได้รู้สึกโลภขึ้นมา จึงแอบเอาสมบัติชิ้นนั้นซ่อนไว้ใช่หรือไม่”

เทพมารทุกคนของเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจต่างก็พากันจ้องเขม็งมาทางนี้ สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความสงสัย

ภาพตรงหน้าอยู่ในสายตาหลัวซิว ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะช่าจื่อเยียนกลายเป็นเป้าของคนกลุ่มนี้ สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้คาดการณ์เอาไว้

“ไร้สาระ! หากข้าได้รับสมบัติชิ้นนั้นไปแล้ว เหตุใดจึงต้องพาคนมาค้นหาที่นี่อีก?” ช่าจื่อเยียนพูดเสียงเย็น

“ใครจะไปรู้ เจ้าอาจจะจงใจทำเช่นนี้ เพื่อที่จะให้ตนเองพ้นข้อกล่าวหาได้อย่างง่ายดาย?”

“ช่าจื่อเยียน พวกเจ้าโลกเสวียนเทียน อีกทั้งยังมีพวกเราโลกาอสูรฟ้าและโลกานานาอสูร มาที่แห่งนี้เพื่อตามหาสมบัติชิ้นนั้นสูญสิ้นเวลาไปนับหมื่นปี ไม่ว่าจะเป็นฝั่งใดที่หาสมบัติชิ้นนั้นเจอ ความดีความชอบนั้นก็ควรจะเป็นของพวกเราทุกคนจึงจะถูก”