บทที่ 1387 ร่วมมือกันอย่างเป็นสุข

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“ข้าเคยเห็น…” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจหนึ่งประโยค แอบบอกว่าตนนั้นได้เห็นแขนขาและลำตัวทั้งหมดของอีกฝ่ายแล้ว รวมถึงศีรษะด้วย

เพียงแต่การได้เห็นเช่นนี้ออกจะประหลาดพิสดารไปหน่อยเท่านั้น

“แล้วตอนนี้ที่จิตนึกคิดของเจ้ากำลังสื่อสารกับข้า เป็นเพราะอยากบอกอะไรข้าหรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิดแล้วค่อยๆ เอ่ยปาก จากการคาดเดาของเขา การปรากฏตัวของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ผู้นี้ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล จะต้องมีเรื่องบางอย่างที่อยากพูดคุยกับเขาแน่

“ได้พบผู้ฝึกตนที่สามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงได้ในบางครั้ง เพราะความใคร่รู้ จึงส่งดวงจิตเทพมา ไม่ได้มีเรื่องใดพิเศษ” ผู้ที่ตอบกลับหวังเป่าเล่อก็คือเสียงแผ่วเบาเหมือนเคยของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว แม้ว่ากฎเกณฑ์แรกที่เขาได้สัมผัสหลังจากมาถึงโลกชั้นที่สองแห่งนี้จะเป็นกฏเกณฑ์แห่งสุข แต่ถ้าหากอีกฝ่ายปิดบังคำพูด ความรู้สึกสนิทสนทที่ไม่ได้มากมายนักของเขาก็ยังไม่พอนำมาใช้เสริมความอดทนของเขาได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ หวังเป่าเล่อก็แย้มยิ้ม ร่างกายสั่นไหว เงาร่างที่อยู่ในโลกแห่งเสียงใบนี้กลับเลือนรางอย่างช้าๆ ราวกับกำลังจะออกไปจากที่นี่

“ในเมื่อเจ้าแห่งสุขมาเพียงเพราะความใคร่รู้ หากภายหน้ามีเวลา พวกเราค่อยมาพูดคุยกันเถอะ”

ขณะที่กล่าว เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ เลือนหายราวกับกำลังจะออกจากโลกใบนี้ ส่วนทางฝั่งเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์กลับเงียบงันไม่พูดอะไร กระทั่งเงาร่างของหวังเป่าเล่อหายไปอย่างสมบูรณ์ก็ยังไม่เอ่ยออกมาสักคำ

กลับไปที่หวังเป่าเล่อในคืนมืดมิด แววตาของเขาเผยความสงสัย

“หรือว่าแค่อยากรู้เท่านั้นจริงๆ” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ และเวลาของค่ำคืนนี้ก็ค่อยๆ ผ่านไปตามช่วงเวลาที่สัตว์ประหลาดของหวังเป่าเล่อผสานเข้ากับโลกแห่งเสียง

ตอนนี้ ไม่นานหลังจากเขากลับมาสู่ค่ำคืน ขอบฟ้าไกลก็เป็นสีขาวแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น ค่ำคืนมืดมิดก็ถูกฟ้าสางเข้าแทนที่ ส่วนเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็หายตัวไป

เมื่อปรากฏขึ้น เขาก็อยู่ในเมืองปรารถนาเสียงแล้ว เขากลับไปยังที่พักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าคืนนี้เขาจะตามหาสือหลิงจื่อไม่เจอ แต่กลับได้กำไรที่น่าตะลึงยิ่งกว่า

อันดับแรก เขามั่นใจในทิศทางของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตนแล้ว รู้ถึงความสามารถที่ตนมีทั้งหมดในตอนนี้ ก็ยิ่งรู้จักและเข้าใจพวกสัตว์ประหลาดในโลกแห่งเสียงเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง

ส่วนเจ้าแห่งสุข หวังเป่าเล่อมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ความใคร่รู้ จะต้องมีเรื่องอื่นแฝงอยู่แน่ๆ

“นางไม่รีบ ข้าก็ย่อมไม่รีบ” หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ด้านหนึ่งเขาให้พ่อบ้านเก็บรวบรวมทำนองบทเพลงที่เสียต่อไป ส่วนอีกด้านก็เปิดกระเป๋าคลังเก็บที่เก็บมาได้ออกทีละใบๆ แล้วควานหาของ

ขณะที่กระเป๋าคลังเก็บถูกเขาเปิดออกอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ กระเป๋าคลังเก็บพวกนี้มาจากผู้ฝึกตนของสามสำนัก และในกระเป๋าคลังเก็บของผู้ฝึกตนแต่ละคนล้วนใส่ทรัพย์สินอยู่ไม่มากก็น้อย

ตัวอย่างเช่นหวังเป่าเล่อได้ทำนองเพลงมาสามแผ่น ทั้งยังเป็นทำนองเพลงสมบูรณ์ด้วย

ส่วนทำนองเพลงเสียก็มีมากมายเช่นกัน อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นต้นฉบับ ไม่ใช่ของคัดลอก นอกจากนั้น ของประเภทเทพวัตถุและโอสถบำรุงก็ยิ่งมีหลากหลาย เห็นแล้วหวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นมาก

เขาหยิบทำนองเพลงเหล่านั้นออกมาทันทีแล้วเริ่มตระหนักรู้บทเพลง

เช่นนี้เอง วันเวลาที่ดำเนินไป จนกระทั่งผ่านไปสิบวัน

ในช่วงสิบวันนี้ ทุกครั้งที่ยามค่ำคืนมาถึง หวังเป่าเล่อก็จะแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดและออกไปโลกข้างนอก ผู้ฝึกตนที่ถูกเขาพบเห็นล้วนยากจะหลีกหนีหายนะถูกชิงกระเป๋าคลังเก็บไปได้ ถึงขนาดที่มีบางคนเป็นลูกค้าเก่าของเขาแล้วด้วย…

ขณะที่เขาเก็บเกี่ยวมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในกลุ่มศิษย์สามสำนักก็มีข่าวลือเกี่ยวกับหัวขโมยน่ากลัวยามค่ำคืนแพร่ไปทั่วเหมือนกับลมพายุ ถึงขั้นที่มีคนในเมืองปรารถนาเสียงมากมายเริ่มรู้เรื่องแล้ว และได้พูดคุยกันอย่างแพร่หลาย

“ได้ยินไหม ช่วงนี้มีคนบ้าไร้ยางอายคนหนึ่ง คนผู้นั้นเห็นชัดว่ามีพลังฝึกตนสูงส่งยิ่งยวด แต่กลับมุ่งเป้าลงมือกับกระเป๋าคลังเก็บเท่านั้น…”

“ทุกคนระวังหน่อยนะ หลายวันนี้ไม่ค่อยสงบ มีหัวขโมยอาละวาด”

“ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนกว่าครึ่งที่ออกไปข้างนอกของสามสำนักล้วนเคยพบเจอกับหัวขโมยผู้นั้น ในเมื่อโจรผู้นี้มีพลังฝึกตนระดับสูงอย่างนี้แล้ว เหตุใดถึงจดจ้องแต่กระเป๋าคลังเก็บล่ะ”

ในยามกลางวัน หวังเป่าเล่ออยู่ในโรงเตี๊ยมจะได้ยินบทสนทนาของผู้คน และในยามกลางคืน เขาก็ได้ยินคำพูดประเภทนี้ในสำนักของเขาเองด้วย

ทุกครั้งที่เจอเรื่องนี้เขาล้วนมีสีหน้าเป็นปกติ ราวกับผู้ที่อีกฝ่ายพูดถึงไม่ใช่ตน ถึงขนาดยามที่เจอกับเพื่อนข้างห้องพักของตนและอีกฝ่ายก็มาบอกเขาเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อยังทำเป็นทอดถอนใจ บอกว่าตนก็เคยเจอมาแล้ว แลกมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจได้หนึ่งอย่าง

บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องของหัวขโมย หรืออาจเป็นเพราะความดุเดือดจากการประกาศจับลดน้อยลง จำนวนของผู้ฝึกตนสามสำนักที่ออกไปข้างนอกยามค่ำคืนก็ค่อยๆ ลดน้อยลงมาก ศิษย์สามสำนักส่วนมากกลับไปสู่ชีวิตของการกักตนตระหนักรู้แบบแต่ก่อนแล้ว

สิ่งนี้ทำให้การปล้นชิงของหวังเป่าเล่อต้องหยุดชะงัก บางครั้งในหนึ่งคืน เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดออกตามหาอยู่ตั้งนาน มากที่สุดก็เจอแค่สามถึงห้าคนเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้ก็ย่อมน้อยลงมาก แต่หวังเป่าเล่อก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว เพราะช่วงนี้ในกระเป๋าคลังเก็บที่เขาปล้นชิงมาเป็นทำนองเพลงที่มีจำนวนมากถึงห้าสิบแผ่นทีเดียว

ทำนองที่เสียก็ยิ่งมีจำนวนน่าตกใจ และจำนวนทำนองเพลงที่ทำให้เขาตระหนักรู้ได้ก็มีเกินกว่า 15,000 ชิ้นจนถึงระดับ 20,000 กว่าชิ้น ที่สำคัญที่สุดคือยามที่แปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดเข้าสู่โลกแห่งเสียงตอนกลางคืนทุกครั้ง เขาจะสามารถสัมผัสได้ลางๆ ว่าคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ตน

เจ้าของสายตาคู่นั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหวังเป่าเล่อ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปิดบัง นั่นก็คือเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ เพียงแต่เจ้าแห่งสุขผู้นี้ นอกจากในวันแรกก็ไม่เคยเข้ามาพูดคุยกับหวังเป่าเล่ออีกเลย

จนกระทั่งวันนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด เขาแหวกว่ายอยู่ในโลกแห่งเสียงเนิ่นนานก็ยังไม่เห็นดวงแสงของผู้ฝึกตนคนใด แต่จู่ๆ เสียงจากเจ้าแห่งสุขของเจ็ดอารมณ์ที่หายไปนานก็ดังก้องอยู่ในใจเขาอีกครั้ง

“ทางทิศตะวันออกของเจ้า ภายในขอบเขตความเร็วหนึ่งก้านธูปของเจ้า มีศิษย์จากเต๋าแห่งดนตรีอยู่ผู้หนึ่ง”

“หืม” หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็กวาดมองรอบๆ ร่างกายวาบหายแล้วพุ่งไปทางทิศที่อีกฝ่ายชี้นำทันที หลังจากชั่วก้านธูป เขาก็เห็นดวงแสงสลัวๆ ดวงหนึ่งจริงๆ มันเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวจะถูกพบเห็น

น่าเสียดาย เมื่อลมพัดผ่านและหวังเป่าเล่อขยับตัว ศิษย์จากเต๋าแห่งจังหวะดนตรีคนนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีทันใด เขาพลันลูบคลำที่หน้าอก คนทั้งคนอ้าปากค้าง กระเป๋าคลังเก็บที่เขาซ่อนเอาไว้ในอกเสื้อ…หายไปแล้ว

ความสุขจากการร่วมมือกันเป็นครั้งแรกเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับเจ้าแห่งสุข ดังนั้นเจ้าแห่งสุขจึงเอ่ยพูดบ่อยยิ่งขึ้น แต่ทุกครั้งนางล้วนบอกเรื่องตำแหน่งของศิษย์จากสามสำนักให้กับหวังเป่าเล่อ

และหวังเป่าเล่อก็ไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ เก็บเกี่ยวมาได้มากขึ้นตามการชี้นำของอีกฝ่าย แต่เห็นชัดว่าพฤติกรรมไร้มารยาทแบบนี้ยากจะกระทำได้นาน หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือนก็ไม่มีศิษย์สามสำนักออกมายามค่ำคืนมากสักเท่าไรแล้ว

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเสียใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันเขาก็สงสัยมากว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงไม่เคยเจอสือหลิงจื่อเลย แม้แต่ศิษย์จากสำนักอื่นๆ ก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ราวกับศิษย์เต๋าพวกนี้หายไปกันทีละคนๆ

ส่วนเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ผู้นั้นก็คล้ายเดาความสงสัยของหวังเป่าเล่อได้ จึงส่งเสียงออกมาอีกครั้ง

“ศิษย์เต๋าของสามสำนักและมหาศิษย์เหล่านั้นล้วนแต่กักตน เตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการในภายภาคหน้า…สำหรับพวกเขาแล้ว มันเป็นการทดสอบครั้งสำคัญ”

“การทดสอบหรือ” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนก้างปลาตัวเดิมตัวนั้น เงยหน้ามองรอบๆ เอ่ยถามหนึ่งประโยค