“การทดสอบที่ทำให้ศิษย์สามสำนักและมหาศิษย์ต้องบ้าคลั่ง” เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์เอ่ยเสียงเรียบ
“โอ้” หวังเป่าเล่อไม่มีอะไรให้พูดนัก และไม่ได้เอ่ยถามเช่นกัน ส่วนเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์นั้น หลังรออยู่เนิ่นนานก็พบว่าหวังเป่าเล่อยังคงนั่งอยู่บนก้างปลาตัวนั้นเช่นเดิม ราวกับไม่มีความสงสัยใคร่รู้อะไรนัก จึงเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว
“เจ้าไม่สงสัยเรื่องเนื้อหากับจุดประสงค์ของการทดสอบหรือ”
“ไม่สงสัย” หวังเป่าเล่อก้มหน้าเคาะก้างปลา ฟังเสียงตุบๆ ที่ดังมาจากมัน สัมผัสรับรู้ท่วงทำนองเพลงที่เปล่งเสียงเพิ่มขึ้นมาจากในร่าง เมื่อนำมันซ้อนทับเข้าไปแล้ว เขาก็ตอบกลับสุ่มๆ หนึ่งประโยค
เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์เงียบงัน จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่งก็เห็นหวังเป่าเล่อตบก้างปลา ให้ก้างปลาเคลื่อนที่เร็วขึ้น ราวกับกำลังจะตามหาแรงบันดาลใจในการตระหนักรู้เพิ่มขึ้นจากรอบๆ นางจึงอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“เจ้าอยากรู้ความลับของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงหรือไม่”
“เจ้าอยากพูดก็พูด ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องมาหลอกล่อข้า” หวังเป่าเล่อใช้ฝ่ามือจับตัวประหลาดรูปร่างคล้ายกับคางคกมาตัวหนึ่งแล้วบีบมัน ทำให้มันส่งเสียงร้อง ‘อ๊บ อ๊บ’ ออกมา พลางกล่าวอย่างไม่สนใจ
เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งสุขก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของหวังเป่าเล่อก็เงียบงัน ไม่พูดอะไรอีก ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ถามเช่นกัน เป็นเช่นนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไป เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วยามค่ำคืนถึงจะผ่านพ้น ฝั่งเจ้าแห่งสุขก็เอ่ยออกมาคล้ายจนใจ
“เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ไม่ใช่หนึ่งเดียว…อันที่จริง นางเกิดขึ้นมาจากสามร่างแยก เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าสามร่างแยกนั้นเป็นใครกันบ้าง”
ราวกับว่าวิธีการพูดของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์มักจะชอบหลอกล่อคนอื่นให้เอ่ยถามเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่มาเจอกับหวังเป่าเล่อ และครั้งนี้แม้ว่าเจ้าแห่งสุขผู้เริ่มเข้าใจลักษณะการพูดจาของหวังเป่าเล่อแล้วจะเอ่ยแบบนี้ออกมา แต่นางกลับไม่รอให้หวังเป่าเล่อได้ตอบกลับ แต่เป็นผู้ก็เอ่ยต่อไปเอง
“เจ้าจะต้องอยากรู้แน่ พวกเขาก็คือ…”
“ไม่อยากรู้ก็ได้…” หวังเป่าเล่อตอบกลับหนึ่งประโยค แต่เห็นชัดว่าถูกเจ้าแห่งสุขเมินไปแล้ว
“พวกเขาก็คือ เจ้าสำนัก…ของทั้งสามสำนักในเมืองปรารถนาเสียง!”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ในใจของหวังเป่าเล่อก็พลันสั่นไหว แต่เบื้องหน้ายังคงเป็นท่าทางไม่สนใจ ส่งเสียง “อ้อ” รับรู้ออกมา
เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ไม่สนใจท่าทีของหวังเป่าเล่อ นางเอ่ยต่อไปด้วยตัวเอง
“เจ้าสำนักทั้งสามสำนักของเมืองปรารถนาเสียงนั้น พวกเขาก็คือร่างแปลงทั้งสามของเจ้าปรารถนาเสียง ส่วนเจ้าแห่งปรารถนาเสียงนั้นไม่มีร่างจริง เมื่อร่างแปลงสามร่างของนางผสานรวมเข้าด้วยกัน นั่นก็คือร่างจริง”
“แต่เป็นเพราะข้อห้ามและคำสาปในอดีต ร่างแปลงของนางจึงไม่อาจผสานรวมกันได้ตลอดกาล” เอ่ยถึงตรงนี้ เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ก็นิ่งไป แต่คล้ายไม่อยากได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นนางจึงฝืนเปลี่ยนความเคยชินของตัวเอง เอ่ยต่อไปอย่างรวดเร็ว
“แต่ก็เป็นเพราะข้อห้ามและคำสาปเช่นเดียวกัน แม้ว่าร่างจริงของนางจะไม่อาจปรากฏออกมาได้ แต่ร่างแปลงก็เป็นตัวตนอมตะในแง่หนึ่ง เพราะร่างแปลงของนางก็มีความสามารถแบบเดียวกัน เรียกว่าการกลับชาติ เป็นประเภทเดียวกับการครองร่าง แต่ครอบงำยิ่งกว่าการครองร่าง”
“เช่นนั้น…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดพลางเอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ตัว และหลังจากเอ่ยออกมาเขาก็รู้สึกเสียใจแล้ว ทว่าเขาจำต้องยอมรับ ข้อมูลที่อีกฝ่ายพูดออกมาทำให้เขาตกใจมากจริงๆ
และความเสียใจของเขาก็ถูกต้องแล้ว เพราะว่า…เมื่อเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ได้ยินคำพูดนั้นของหวังเป่าเล่อ นางก็ไม่พูดต่ออีก จนกระทั่งค่ำคืนผ่านพ้นและหวังเป่าเล่อจากไป นางก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่นิด
ทำให้หวังเป่าเล่อที่หายตัวไปจากตรงนี้เพื่อกลับสู่โรงเตี๊ยมรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ผู้นี้มีปัญหาแน่ๆ ยิ่งเจ้าไปสนใจนาง นางก็ยิ่งทำตัวเย็นชา
“ต่อกรกับคนแบบนี้ก็ต้องทำตัวเหมือนไม่สนใจ”
“และไม่อาจทำตัวกระตือรือร้นเพื่อให้นางมองเห็นข้ามากเกินไป…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดพิจารณาแล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็นไปทีหนึ่ง ลอบคิดว่าเรื่องแบบนี้ ร่างจริงในสมัยเด็กยังทำได้ ตนยิ่งแข็งแกร่งกว่าร่างจริง กำเนิดออกมาก็ทำได้เลย
“คนบางคนก็ควรจะปล่อยให้ตากแห้งไว้อย่างนั้นแหละ” หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดเรื่องนี้อีก แต่หยิบแผ่นทำนองเพลงออกมาแล้วตระหนักรู้ต่อ จนกระทั่งยามค่ำคืนมาเยือน ทว่าเขากลับไม่ได้ไปที่ประตูสำนัก และไม่ได้ออกจากโรงเตี๊ยม ยิ่งไม่ได้ผสานเข้าสู่โลกแห่งเสียงด้วย
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนกว่าที่หวังเป่าเล่อไม่ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง
และไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เมื่อมีครั้งแรกแล้วก็ย่อมมีครั้งที่สอง ดังนั้น จนกระทั่งผ่านไปแล้ววันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…จนแปดวัน
ในช่วงแปดวันนี้ หวังเป่าเล่อไม่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงแม้เพียงครึ่งก้าว ทั้งกายใจล้วนหมกมุ่นอยู่กับการตระหนักรู้ทำนองเพลง เพิ่มจำนวนท่วงทำนองของตน และสุดท้ายก็ทะลวงสองหมื่น บรรลุถึงระดับสามหมื่น
จนกระทั่งค่ำคืนวันที่แปดกำลังจะผ่านพ้น หวังเป่าเล่อจึงลืมตาขึ้นมา ก้าวเดินอย่างเกียจคร้านและกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดผสานเข้าสู่โลกแห่งเสียง ชั่วขณะที่เขาก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงนั้น เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีดวงจิตเทพเข้ามารวมตัวกันจากทั้งแปดทิศ มันแผ่กระจายอยู่รอบตัวของเขาอย่างร้อนรน
หลังจากรับรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว จิตใจของหวังเป่าเล่อก็ตะโกนร้องขึ้นมา เรียกหาก้างปลาที่รักของเขา ไม่นานก้างปลาตัวนั้นก็ว่ายเข้ามาหาจากที่ไกลๆ อย่างรวดเร็วแล้วแล่นลงที่บั้นท้ายของหวังเป่าเล่อ ให้เขาได้นั่งลงอย่างสบายๆ
และแทบจะขณะเดียวกับที่หวังเป่าเล่อนั่งลงไปนั้น ดวงจิตเทพที่แพร่กระจายอยู่รอบด้านก็เกิดการผันผวนเล็กน้อย ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงแผ่วเบาก็ดังก้อง
“ดังนั้น…หลังจากร่างแปลงสำนักเต๋าแห่งดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงต่อสู้กับเจ้าแห่งสวาปามแล้วบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งรักษาตนเองล้มเหลว ดังนั้น…ข้าจึงเดาว่ามีโอกาสอย่างมากที่จะเลือกการครองร่าง”
“และเป้าหมายของการครองร่างย่อมเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในสามสำนัก นี่ก็คือจุดประสงค์ของการทดสอบครั้งนี้ด้วย เพียงแต่ว่าศิษย์ของสามสำนักไม่มีใครรู้ความลับนี้เท่านั้น”
ครั้งนี้ เจ้าแห่งสุขได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบคำพูดจากเมื่อก่อน นางให้คำตอบที่หวังเป่าเล่ออยากรู้ออกมารวดเดียว พูดออกไปทั้งหมด ถึงขนาดยังมีความรู้สึกเหมือนกับกลัวว่าพอพูดจบแล้วหวังเป่าเล่อจะจากไปทันทีอีกด้วย
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะเป็นเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ แต่ตราบใดที่ยังมีนิสัยแบบสตรีอยู่ วิธีการก็แทบจะเป็นเหมือนกันหมด” หวังเป่าเล่อกระแอมไอ หลังจากพึมพำอยู่ในใจแล้วก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของอีกฝ่ายอย่างละเอียด
ไม่นานเขาก็คาดเดาออกมาได้ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงสักแปดเก้าในสิบส่วน เพราะเขานึกถึงตอนนั้น ร่างจริงได้พบกับนักแสดงหญิงชุดเขียวจากเมืองปราถรถนาเสียงผู้นั้น ภายในร่างของอีกฝ่ายกลับมีเมล็ดพันธุ์เต๋าฝังอยู่
และยังมีเยว่หลิงจื่อจากสำนักเหอเสียน ตอนนั้นหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเมล็ดพันธุ์เต๋าเช่นกัน ถึงขนาดที่ตอนนี้มาหวนนึกถึง สือหลิงจื่อก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
และของประเภทเมล็ดพันธุ์เต๋าก็ไม่ใช่ของสามัญ ปกติแล้วมันไม่มีทางอยู่ในตัวของคนหลายคนขนาดนี้ ดังนั้นถ้าหากมีอยู่จริงๆ เช่นนั้นก็มีปัญหาแล้ว
แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีคำตอบสำหรับปัญหานี้แล้ว
และคำพูดต่อมาของเจ้าแห่งสุขก็ได้พิสูจน์การคาดเดาของหวังเป่าเล่อ
“ศิษย์เต๋าของสามสำนักและหัวกะทิที่เป็นรองเป็นศิษย์เต๋านั้น ความจริงแล้วพวกเขา…ล้วนเป็นเตาหลอมที่เจ้าแห่งปรารถนาเสียงผู้นั้นเตรียมจะเลือกใช้”