บทที่ 1104 นี่มันบทพระเอกในละครทีวีชัด ๆ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,104 นี่มันบทพระเอกในละครทีวีชัด ๆ

“เชิญ”

ตัวแทนจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุนามเม่ยลั่วชักกระบี่ที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังออกมายืนตระหง่านอยู่กลางสังเวียนประลอง

กระบี่ในมือเขาเป็นกระบี่ที่แปลกมาก

ปลายของมันมีลักษณะกลมมน ไม่ได้แหลมคมเหมือนกระบี่ทั่วไป

แต่น่าประหลาดที่มันกลับคมกริบ

ไม่ต่างจากงูพิษสีดำเต็มเปี่ยมด้วยอันตรายตัวหนึ่ง

ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ เขาจึงโกรธแค้นสำนักมหากระบี่เป็นอย่างยิ่งสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมือกระบี่อนาคตไกลอย่างเม่ยหลิน

และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา การประลองจึงเปิดฉากขึ้นโดยทันที

เม่ยลั่วเพียงสะบัดข้อมือ เงากระบี่ที่แปลกประหลาดก็พุ่งออกไปข้างหน้า

ได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศ

“เฮ้อ”

คู่ต่อสู้จากสำนักมหากระบี่จูเก๋อหลิงซีพลันถอนหายใจออกมา

ดูเหมือนผู้อาวุโสเม่ยลั่วท่านนี้คงคิดแก้แค้นให้แก่เม่ยหลินที่ต้องสูญเสียแขนไปสินะ

จูเก๋อหลิงซีกล่าวออกมาด้วยความจำใจ “คงต้องขอให้ผู้อาวุโสเม่ยเมตตาแล้ว”

ก่อนที่มือของเขาจะตวัดวูบ แล้วรังสีกระบี่ก็พุ่งกระจายออกไป

วูบ!

กระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของจูเก๋อหลิงซีถูกชักออกจากฝักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ มันสาดประกายสีรุ้ง โจมตีใส่คู่ต่อสู้จากกลางอากาศ

คมกระบี่พลิ้วไหวราวกับการเคลื่อนกายของพญามังกร จู่โจมเข้าใส่เม่ยลั่วอย่างหนักหน่วงรุนแรง

เม่ยลั่วพยายามตวัดกระบี่ปัดป้อง

เคร้ง!

กระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกัน

พริบตานั้น สะเก็ดไฟก็สาดกระจายในอากาศ

เงากระบี่ครอบคลุมรอบบริเวณ

พลังลมปราณครอบคลุมทั่วสังเวียนประลอง

การจู่โจมของทั้งสองฝ่ายรวดเร็วมาก

เพียงพริบตาเดียว ไม่ทราบเลยว่าพวกเขาปะทะกันไปแล้วกี่กระบวนท่า

เงาร่างของผู้คนเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งกว่าวิหคบนท้องฟ้า

บนยอดเขาปกคลุมด้วยสะเก็ดไฟจากการปะทะกันของกระบี่

บรรยากาศร้อนระอุ

ทันใดนั้น…

“กระบี่ระเบิดวายุ”

เม่ยลั่วระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น เขาโคจรพลังลมปราณเต็มอัตราเท่าที่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหกคนหนึ่งจะทำได้

และกระบวนท่าที่เขากำลังใช้ออกมานี้ ก็ถือเป็นกระบวนท่าไม้ตายขั้นสุดยอด

กระบี่รูปทรงประหลาดที่อยู่ในมือได้รับพลังหล่อหลอมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายกับสิ่งมีชีวิต มันพุ่งออกจากมือของเม่ยลั่วโจมตีใส่กระบี่ของคู่ต่อสู้ด้วยตัวของมันเอง บางครั้งปรากฏตัว บางครั้งหายลับไป เพียงพริบตาเดียว เสื้อผ้าของจูเก๋อหลิงซีก็มีรอยฉีกขาดหลายตำแหน่งแล้ว

ท่าไม้ตายของผู้มีพลังขั้นเซียนนับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประมาทได้เลยจริง ๆ

ยิ่งระดับพลังสูงล้ำมากเท่าไหร่ อานุภาพในการทำลายล้างก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น

เม่ยลั่วกำลังอยู่ในสภาวะโกรธแค้น กระบวนท่าการโจมตีของเขาจึงรุนแรงมากกว่าปกติ

“เม่ยหลินต้องเสียแขนไปหนึ่งข้าง วันนี้ข้าก็จะตัดแขนของเจ้าไปหนึ่งข้างเช่นกัน”

เม่ยลั่วคำรามด้วยจิตอาฆาต

แต่สีหน้าของจูเก๋อหลิงซีกลับปรากฏเพียงความลำบากใจเท่านั้น

“ผู้อาวุโส เป็นท่านบังคับข้าแล้ว…”

จูเก๋อหลิงซีไม่กล้าลังเลรีรอ เขาเองก็โคจรพลังเต็มอัตรา และแสดงท่าไม้ตายของตนเองออกมาเช่นกัน “คลื่นลมปั่นป่วนไร้หลุมศพกลบฝัง”

สองมือของชายหนุ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่บริเวณหน้าอก นิ้วมือของเขาสอดประสานกันอย่างน่าพิศวง

การเคลื่อนไหวนิ้วมือแต่ละครั้งจะสูบฉีดพลังลมปราณเข้าไปในกระบี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศของจูเก๋อหลิงซี

นี่คือเคล็ดวิชา 36 กระบวนท่าทำลายล้าง ซึ่งนับเป็นวิชาเฉพาะตัวของสำนักมหากระบี่ เมื่อสูบฉีดพลังลมปราณเข้าไปในกระบี่ที่อยู่กลางอากาศนั้น กระบี่ของจูเก๋อหลิงซีก็เปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นลำแสงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด

วูบ!

ลำแสงกระบี่หายลับไปในร่างกายของเม่ยลั่ว

“อะเฮือก…”

เม่ยลั่วร่างกระตุก

แล้วพลังลมปราณในร่างกายของเขาก็สูญสลายหายไป

กระบี่ของเม่ยลั่วที่พัวพันจูเก๋อหลิงซีตลอดเวลากลับสลายหายไปในอากาศคล้ายเป็นเพียงหมอกควันสายหนึ่งเท่านั้น

“เจ้า เจ้า…”

เค้าลางแห่งความตายปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเม่ยลั่ว ดวงตาของเขาเบิกโตจ้องมองจูเก๋อหลิงซีอย่างไม่อยากเชื่อ

ไม่เคยมีผู้ใดสามารถต้านทานกระบวนท่ากระบี่ระเบิดวายุของเขาได้มาก่อน แล้วเหตุไฉนจูเก๋อหลิงซีถึงสามารถคลี่คลายกระบวนท่านี้ได้ในเวลาอันรวดเร็วยิ่ง?

บัดนี้ ผลของการประลองออกมาชัดเจนแล้วว่าฝ่ายใดเป็นผู้แพ้

การประลองครั้งนี้ ล้วนเป็นกับดักมาตั้งแต่แรก

ในเวลาเดียวกันนั้น

จูเก๋อหลิงซียังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

“ผู้เยาว์ต้องขออภัยผู้อาวุโสเป็นอย่างสูง”

จูเก๋อหลิงซีสบตามองหน้าเม่ยลั่วก่อนทอดถอนใจและกระซิบว่า “ผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักมากเกินไป หากอยู่รอดในสภาพเช่นนี้คงเจ็บปวดทรมานไปชั่วชีวิต มิสู้ตายเสียดีกว่า”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

บุรุษหนุ่มผู้เป็นตัวแทนจากสำนักมหากระบี่ก็โคจรพลังลมปราณระเบิดร่างของผู้อาวุโสเม่ยลั่วแตกกระจาย

ตู้ม!

ร่างของผู้อาวุโสเม่ยลั่วระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด

ต้องไม่ลืมว่าร่างกายของผู้มีพลังขั้นเซียนมีความแข็งแกร่งมากกว่าร่างกายของคนทั่วไป

แล้วเหตุไฉนการตายเช่นนี้จึงเกิดขึ้นได้อีก?

เม่ยลั่วพ่ายแพ้และต้องสังเวยด้วยชีวิตของตนเอง

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

กระบี่หน้าตาประหลาดแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยร่วงกราวลงสู่พื้นดิน ไร้ซึ่งพิษสงที่จะทำอันตรายผู้ใดได้อีก

“คนต่อไป”

จูเก๋อหลิงซีสะบัดมือ กระบี่คู่กายก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมและลอยกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มจ้องมองไปยังที่นั่งของลูกศิษย์สำนักกระบี่สายฟ้าวายุด้วยแววตาท้าทาย

ก่อนเริ่มการประลอง เป็นเขาที่ขอความเมตตาจากคู่ต่อสู้

แต่ในท้ายที่สุด กลายเป็นจูเก๋อหลิงซีที่ฆ่าคู่ต่อสู้อย่างไร้ความเมตตา

ณ ที่นั่งของสำนักคฤหาสน์กำยาน หลินเป่ยเฉินนำเมล็ดแตงโมห่อใหม่ที่ซื้อมาจากแอป Taobao ออกมาแจกจ่ายให้พวกของเหยียนหรู่อี้ได้รับประทาน เขาพูดพร้อมกับพยายามแทะเปลือกเมล็ดแตงโมไปด้วย “จูเก๋อหลิงซีผู้นี้มีความชั่วร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะขอรับ”

เหยียนหรู่อี้เองก็กล่าวขึ้นอย่างคิดไม่ถึงเช่นกัน “ชายหนุ่มผู้นี้มีภาพลักษณ์ที่ดีงามเสมอมา คิดไม่ถึงเลยว่าตัวตนจริงของเขาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ นับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเรามองเขาผิดไปจริง ๆ”

“มังกรซ่อนเล็บ พยัคฆ์ซ่อนเขี้ยว ยากที่จะบอกได้ถึงอันตรายขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพยายามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่สำหรับเด็กหนุ่มอัจฉริยะอย่างข้าน้อย เพียงมองเขาปราดเดียว ข้าน้อยก็มองออกทะลุปรุโปร่งแล้ว”

เหยียนหรู่อี้นิ่งเงียบไม่ตอบคำใด

“นี่มันอะไรกัน?”

ซวีหวันส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เม่ยหลินกระโดดลงสู่สังเวียนประลองแล้ว”

หูเหม่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยความตกใจไม่แพ้กันว่า “นี่แขนข้างหนึ่งของเขา… ได้ขาดไปแล้วจริง ๆ หรือ?”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองไปที่เวทีประลอง

และเขาก็ได้พบว่าขณะนี้เม่ยหลินได้มาปรากฏตัวยืนอยู่เบื้องหน้าจูเก๋อหลิงซีเรียบร้อยแล้ว

บนแผ่นหลังของเขายังคงสะพายกระบี่สองเล่ม

แขนเสื้อข้างขวาว่างเปล่าปลิวไสวตามแรงลม เปิดเผยให้เห็นว่าแขนขวาของเขาได้อันตรธานหายไปแล้วจริง ๆ

เม่ยหลินเหลือเพียงแขนซ้ายข้างเดียวเท่านั้น

ดวงตาของผู้คนจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นและเวทนา

สำหรับมือกระบี่ การสูญเสียแขนขวาถือเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวง

แทบไม่ต่างจากการถูกทำลายวรยุทธ์

และมีความเป็นไปได้สูงที่ขั้นพลังของเม่ยหลินจะลดลง

ก่อนหน้านี้ เม่ยหลินมีชื่ออยู่ในอันดับที่ 96 ของทำเนียบยอดผู้กล้าดาวรุ่ง

จูเก๋อหลิงซีมีชื่ออยู่ในอันดับ 109 ของทำเนียบยอดผู้กล้าดาวรุ่ง

หากสองคนนี้มาเผชิญหน้ากัน สมควรกล่าวว่าเม่ยหลินเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่หลายส่วน

แต่บัดนี้…

เมื่อเม่ยหลินสูญเสียแขนขวาของตนเองไป ทว่าเขาก็ยังกล้าก้าวลงสู่สังเวียนประลองเผชิญหน้ากับจูเก๋อหลิงซีด้วยแขนซ้ายที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว ทุกคนก็อดรู้สึกเวทนาขึ้นมาไม่ได้

เพราะพวกเขาทราบดีว่าจูเก๋อหลิงซีไม่มีทางยั้งมือไว้ไมตรีเด็ดขาด

เหตุไฉนเม่ยหลินถึงต้องลงสู่สังเวียนประลองด้วย?

เขาต้องการจะพิสูจน์สิ่งใดกันแน่?

เป็นเขาต้องการแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของมือกระบี่ที่แท้จริง?

หรือเป็นเพราะเขาต้องการ… ตกตายในการประลองครั้งนี้?

“น่าสงสารยิ่งนัก”

หลินเป่ยเฉินหยิบเมล็ดแตงโมมาอีกกำใหญ่พร้อมพูดว่า “เม่ยหลินคนนี้ไม่ต่างจากข้าน้อยสักเท่าไหร่ จิตใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม แต่นับว่าเขาเป็นบุคคลที่จริงใจต่อผู้อื่นมากเกินไป จึงถูกผู้อื่นหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว หากเม่ยหลินรู้จักที่จะทำตัวร้ายกาจมากกว่านี้สักหน่อย เขาก็คง…”

แต่เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

ชิ้ง!

เสียงกระบี่ก็ถูกชักออกจากฝัก

รังสีกระบี่ครอบคลุมทั่วยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง

ได้ยินเสียงสายลมกรรโชก

เป็นเสียงของกระบี่วายุ

หลินเป่ยเฉินจดจำขึ้นมาได้ในทันที

บนสังเวียนประลองในขณะนี้ ผลการต่อสู้ได้ปรากฏออกมาแล้ว

รังสีกระบี่ได้พาดผ่านลำคอของจูเก๋อหลิงซี

เขายืนโงนเงน พยายามยกมือประคองลำคอของตนเอง สีหน้าที่เคยเรียบเฉยกลับปรากฏความไม่อยากเชื่อ

“เจ้า…เหตุไฉนเจ้าถึง…”

โลหิตไหลทะลักออกมาจากง่ามนิ้วมือของจูเก๋อหลิงซี

“เจ้าคงอยากถามใช่ไหมว่าข้าแขนขาดไปแล้ว เหตุไฉนถึงยังใช้กระบี่ได้อีก?”

เม่ยหลินมีสีหน้าเย็นชาราวกับธารน้ำแข็ง เขายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “เพราะว่าข้ามีกระบี่คู่กายสองเล่ม หนึ่งนั้นคือกระบี่วายุสะเทือนฟ้า อีกหนึ่งคือกระบี่สายฟ้าพิโรธ นับตั้งแต่เยาว์วัย ข้าฝึกฝนการใช้กระบี่ด้วยสองมือมาตลอด… ดังนั้น มือซ้ายของข้าจึงสามารถใช้กระบี่ฆ่าคนได้เช่นกัน”

ความเงียบงันและความตกตะลึงแผ่ปกคลุมบรรยากาศ

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ขณะนี้ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“นี่มันบทพระเอกในละครทีวีชัด ๆ”

หลินเป่ยเฉินตบต้นขาอย่างแรง รู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มที่กระทบฝ่ามือของตนเองขณะกล่าวว่า “ผู้กำกับขอรับ? ผู้กำกับอยู่ไหน รีบออกมาได้แล้ว บทนี้มันควรเป็นของข้าไม่ใช่หรือ?”

เหยียนหรู่อี้หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน

ต้นขาของนางถูกแรงตบของหลินเป่ยเฉินก่อให้เกิดความรู้สึกจักจี้เล็กน้อย

หัวใจที่เย็นชาเป็นทะเลสาบน้ำแข็งเริ่มเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน เหยียนหรู่อี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นบุคคลสมองเสื่อม ยามอาการกำเริบ วาจาที่เขาพูดออกมาล้วนเชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น การที่เขาตบต้นขานางก็คงไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษหรอกกระมัง?

ทันใดนั้น…

“ลูกศิษย์ของข้า…”

แว่วเสียงร้องไห้โหยหวนดังออกมาจากกลุ่มที่นั่งของผู้คนจากสำนักมหากระบี่