บทที่ 1105 จุดพลิกผันครั้งใหญ่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,105 จุดพลิกผันครั้งใหญ่

หวังซงเหยาผู้เป็นอาจารย์ของจูเก๋อหลิงซีถึงกับร้องไห้ครวญครางออกมา

ด้วยฐานะหนึ่งในผู้อาวุโสคนสำคัญของสำนักมหากระบี่ จึงไม่มีใครรู้เลยว่าก่อนหน้านี้หวังซงเหยามีสถานะเป็นเพียงสมาชิกสำนักระดับพื้นฐานเท่านั้น

แต่หลังจากที่ชายชรารับจูเก๋อหลิงซีเป็นลูกศิษย์ เขาก็ได้ขึ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำของสำนัก สถานะเลื่อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

นี่จึงไม่ใช่ศิษย์คิดเกาะอาจารย์เติบโต แต่เป็นอาจารย์เกาะศิษย์เติบโตต่างหาก

หวังซงเหยาเริ่มมีความทะเยอทะยานมากขึ้น เขาหวังว่าสักวันหนึ่งจูเก๋อหลิงซีจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนัก หลังจากนั้น ตนเองก็จะได้ครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด ซึ่งตอนนี้ตกเป็นของลู่หวังเฉิน ผู้ควบคุมกิจการทุกอย่างในสำนักมหากระบี่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความหวังทั้งหมดของชายชรากลับพังทลายลงไปด้วยกระบี่เดียวในมือของเม่ยหลิน

“ลูกศิษย์ของข้า…”

หวังซงเหยาครวญครางปานจะขาดใจ “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”

ชายชราแทบจะเป็นลมหมดสติลงไปแล้ว

หลายคนรู้สึกสงสารเวทนายิ่งนัก

สังคมของผู้ฝึกยุทธ์ สายสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์และอาจารย์ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

ความตายของจูเก๋อหลิงซีสำหรับผู้อาวุโสหวังซงเหยา แทบไม่ต่างจากเขาสูญเสียบุตรชายของตนเอง

แต่จะอย่างไรนี่ก็คือโลกแห่งวรยุทธ์

ความตายคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

วูบ!

หวังซงเหยาพลันพุ่งตัวเป็นลำแสงกระโดดลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลอง

เขาประคองร่างจูเก๋อหลิงซีอยู่ในอ้อมแขนด้วยความทะนุถนอมยิ่ง แต่เมื่อเห็นดวงตาที่แข็งค้างของจูเก๋อหลิงซี ประกอบกับร่างที่ไร้ลมหายใจ ความหวังสุดท้ายในใจของหวังซงเหยาก็แหลกสลายลงไปในพริบตา

ผลั่ก!

พลัน ชายชราโยนซากศพลูกศิษย์ของตนเองทิ้งไป

ราวกับโยนเศษขยะชิ้นหนึ่ง

“เด็กน้อย เจ้าอำมหิตเกินไปแล้ว”

หวังซงเหยาจ้องมองไปที่เม่ยหลินด้วยสีหน้าขื่นขม ดวงตาเป็นประกายดุร้าย ไม่ต่างจากงูพิษที่กำลังจ้องมองเหยื่อ

“ผู้ทรยศสมควรตาย”

เม่ยหลินถือกระบี่ด้วยมือซ้าย สีหน้าเยือกเย็นสุขุม

“เจ้ากลายเป็นคนพิการไปแล้ว อนาคตจบสิ้น เหตุไฉนถึงต้องสังหารลูกศิษย์ของข้าด้วย…”

หวังซงเหยาชักกระบี่ออกมาโคจรพลังลมปราณ ทันใดนั้น ร่างกายพลันห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีน้ำเงินเข้ม เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักมหากระบี่ท่านนี้มีระดับพลังไม่ต่ำต้อยเลยจริง ๆ

“ข้าจะฆ่าเจ้า”

ชายชราโถมตัวพุ่งออกไปข้างหน้า

เม่ยหลินไม่พูดคำใด แต่กระบี่ในมือก็ถูกยกขึ้นมาแล้ว

ได้ยินเสียงกระบี่ปะทะกัน

ได้ยินเสียงสายลมกรรโชกแรงอีกครั้ง

บนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงปกคลุมด้วยรังสีกระบี่สว่างเจิดจ้า

แล้วร่างที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าของหวังซงเหยาก็หยุดชะงักอยู่กลางสังเวียน

เคร้ง!

กระบี่ในมือเขาร่วงหล่นลงพื้น

พรึ่บ!

แล้วร่างของผู้อาวุโสชื่อดังจากสำนักมหากระบี่ก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด

ตกตายในสองกระบวนท่าเท่านั้น

เป็นเม่ยหลินสามารถคว้าชัยชนะได้สองครั้งติด ๆ กันแล้ว

ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่บุรุษหนุ่มแขนเดียวบนสังเวียนประลองด้วยความเหลือเชื่อ

ปรากฏว่าเม่ยหลินไม่ได้ออกมาเพื่อรนหาที่ตาย

แต่เขาออกมาเพื่อแก้แค้น

และเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเอง

เม่ยหลินทำได้สำเร็จ

เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือ เม่ยหลินก็สามารถทำให้ทุกคนได้ประจักษ์ในความแข็งแกร่งของเขา

หลายคนถึงกับแอบคิดอยู่ในใจว่าเม่ยหลินผู้สูญเสียแขนขวาไปในขณะนี้ดูจะแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“คนต่อไป”

เม่ยหลินยกกระบี่ชี้ไปทางกลุ่มที่นั่งของสำนักมหากระบี่

สีหน้าของบรรดาสมาชิกสำนักมหากระบี่แปรเปลี่ยนไปทันที

แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่อย่างลู่หวังเฉินก็ยังมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาแล้ว

การที่เม่ยหลินสามารถก้าวลงสู่สังเวียนประลองและคว้าชัยชนะได้สองครั้งติดกัน ทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักมหากระบี่เสื่อมเสียเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผ่านมามีผู้คนปล่อยข่าวลือว่าสำนักมหากระบี่มีเจตนาส่งกำลังเสริมไปช่วยเหลือเม่ยหลินล่าช้า เพราะต้องการกำจัดฝ่ายตรงข้ามออกจากการประลองครั้งนี้ และนั่นก็ส่งผลให้เม่ยหลินต้องกลายเป็นบุคคลแขนขาด พิกลพิการในชั่วข้ามคืน ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักมหากระบี่ดูชั่วร้ายมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

สถานการณ์ทุกอย่างไม่เป็นใจต่อสำนักมหากระบี่

ดูเหมือนว่าบุรุษหนุ่มแขนขาดผู้นี้ คงตั้งใจระบายความแค้นผ่านกระบี่ของเขาจริง ๆ

นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมาก

และนับว่าเป็นความแค้นที่น่ากลัวมาก

หากสำนักมหากระบี่ไม่รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ในภายภาคหน้า เม่ยหลินอาจกลายเป็นภัยอันตรายใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา

ลู่หวังเฉินครุ่นคิดด้วยจิตอำมหิต

“ท่านผู้อาวุโสขอรับ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยออกไปแสดงฝีมือเถอะ”

“กราบเรียนท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยขอออกไปจัดการเจ้าตัวชั่วร้ายผู้นี้เอง”

เมื่อบรรดาลูกศิษย์ของสำนักมหากระบี่หลุดออกจากภวังค์ พวกเขาก็ส่งเสียงพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น

“ไม่ต้อง”

ร่างกายที่ใหญ่ยักษ์ของลู่หวังเฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งพร้อมกับกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าจะออกไปจัดการเอง”

เม่ยหลินมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองมากใช่หรือไม่?

จิตใจห้าวหาญฮึกเหิมมากใช่หรือไม่?

หากลู่หวังเฉินก้าวลงสู่สังเวียนประลองเมื่อใด นั่นก็คงเป็นเวลาตายของเม่ยหลินแล้ว

หัวไหล่ของชายร่างยักษ์กระตุกวูบ

แล้วเขาก็ไปปรากฏกายอยู่บนสังเวียนประลองในอีกลมหายใจต่อมา

และทันทีที่ลู่หวังเฉินผู้มีพลังขั้นเซียนระดับเจ็ดระเบิดพลังลมปราณออกมาจากร่างกาย เม่ยหลินก็ไม่มีโอกาสได้เปิดปากพูดยอมรับความพ่ายแพ้หรือสามารถหันหลังกลับเพื่อหลบหนีได้อีกต่อไป

พลังกดดันบีบรัดรอบกายเม่ยหลิน

ลู่หวังเฉินแสดงกระบวนท่าพิฆาตศัตรูของตนเองออกมา

มันคือวิชาลมปราณกระบี่ของผู้มีพลังขั้นเซียนที่เรียกว่าเคล็ดวิชากระบี่สูญโลกา

นับเป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาลมปราณกระบี่ที่มีอยู่หลายร้อยชนิด…

นี่คือการโจมตีที่มีความรุนแรงในระดับใด?

ก่อนที่ลู่หวังเฉินจะลงมือ ไม่มีผู้ใดกล้าคาดเดา

เมื่อลู่หวังเฉินลงมือแล้ว ทุกคนก็ได้แต่นั่งตัวสั่นเทา

ในฐานะคู่ต่อสู้ของลู่หวังเฉิน บุรุษหนุ่มแขนเดียวจะสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไร?

ก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนคิดว่าแม้เม่ยหลินจะเหลือแขนเพียงข้างเดียว แต่ความแข็งแกร่งของบุรุษหนุ่มก็ยังคงอยู่

แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับชายร่างยักษ์จากสำนักมหากระบี่ พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าเม่ยหลินหาได้เป็นผู้แข็งแกร่งอันใด

เม่ยหลินยืนนิ่งอยู่กับที่ ปักกระบี่ในมือของตนเองลงไปในพื้นหินใต้ฝ่าเท้า

หลังจากนั้น เขาก็เอื้อมมือชักกระบี่อีกเล่มที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังออกมา

เป็นกระบี่สีม่วง

กระบี่สายฟ้าพิโรธ

รัศมีสีม่วงเปล่งประกายเจิดจ้าไม่ต่างจากแสงสว่างยามดวงตะวันปรากฏพ้นขอบฟ้า ความเจิดจ้าของมันมีมากล้นเสียจนผู้คนไม่กล้าจ้องมอง

แม้แต่ก้อนเมฆบนท้องฟ้าก็ยังสลายตัวหายไป

ยามที่กระบี่สายฟ้าพิโรธถูกชักออกจากฝัก ก็ไม่ต่างจากเกิดการพลิกฟ้าคว่ำปฐพี

กระบวนท่าพิฆาตของลู่หวังเฉิน เป็นกระบวนท่าโจมตีอันรุนแรงที่สุดเท่าที่เม่ยหลินเคยเผชิญหน้ามาในชีวิตนี้

แต่กระบี่สายฟ้าพิโรธในมือของบุรุษหนุ่มแขนเดียวก็ตวัดฟาดฟันส่งรังสีกระบี่พุ่งเข้าไปหาลู่หวังเฉิน

รังสีกระบี่พุ่งแหวกอากาศ มวลอากาศปั่นป่วน บรรดาก้อนหินที่ตั้งอยู่รอบ ๆ สังเวียนประลองแตกสลายเป็นผุยผง…

นับเป็นพลังโจมตีที่รุนแรงมหาศาล

ไม่ต่างจากเกิดสายฟ้าผ่าฟาดเปรี้ยงลงมา

เมื่อแสงสว่างทั้งหมดวูบหายไป

บนสังเวียนประลองก็หลงเหลือผู้คนยืนอยู่เพียงคนเดียว

เป็นเม่ยหลินกำลังยืนหอบหายใจ

แขนซ้ายของเขาปรากฏเส้นเลือดปูดโปนจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่นเดียวกับในดวงตาของเขาที่มีแต่เส้นเลือดแดงก่ำขึ้นอยู่เต็มไปหมด นอกจากนี้ บาดแผลบนร่างกายของเขายังปรากฏโลหิตไหลทะลักออกมาย้อมอาภรณ์สีดำให้กลายเป็นสีแดงฉานในเวลาเพียงพริบตาเดียวอีกด้วย

และเม่ยหลินก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยทีเดียวกว่าที่จะสามารถสอดกระบี่สายฟ้าพิโรธกลับคืนฝักบนแผ่นหลังได้อีกครั้ง

หลังจากนั้น เขาก็ดึงกระบี่วายุกลับขึ้นมาจากพื้นหิน

“คนต่อไป”

บุรุษหนุ่มแขนเดียวยกกระบี่ชี้ไปทางที่นั่งของสำนักมหากระบี่

แต่ขณะนี้ บรรดาผู้อาวุโสที่เคยอาสาอยากจะออกไปแก้แค้นให้แก่จูเก๋อหลิงซีกลับเงียบเฉย ไม่พูดคำใดออกมาอีก ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองไปที่บุรุษหนุ่มชุดดำด้วยซ้ำ

ความตายของลู่หวังเฉินเกิดขึ้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ความโกรธแค้นในจิตใจของพวกเขาสลายหายไปด้วย

เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว

ดังนั้น ถึงแม้เม่ยหลินจะท้าทายต่อไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกมาสู้กับเขาอีก

ในที่สุด โฆษกประจำงานประลองถังกงเยวียนก็ประกาศให้สำนักกระบี่สายฟ้าวายุได้เป็นผู้ชนะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

ไม่มีผู้ใดคิดเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้

สำนักมหากระบี่คือสำนักที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ

ก่อนเริ่มการประลอง ทุกคนต่างมั่นใจว่าสำนักมหากระบี่ต้องได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

แต่ปรากฏว่าสำนักมหากระบี่กลับพ่ายแพ้และพบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

มิหนำซ้ำ ภาพลักษณ์ยังถูกทำลายย่อยยับ

ในกลุ่มที่นั่งของสำนักคฤหาสน์กำยาน เมื่อหลินเป่ยเฉินหลุดออกจากภวังค์ เขาก็พลันรู้สึกว่าเมล็ดแตงโมในมือไม่ได้น่ารับประทานอีกต่อไป

เด็กหนุ่มปาเมล็ดแตงโมเหล่านั้นลงพื้น ก่อนตบต้นขาสบถว่า “เจ้าหมอนี่ขโมยบทพระเอกของข้าไปไม่พอ ยังเอาซีนดราม่าไปกินคนเดียวอีกด้วย… ช่างชั่วช้าไร้ยางอายเกินไปแล้ว คิดจะบีบบังคับให้ข้ากลายไปเป็นตัวละครรองใช่หรือไม่? เหอเหอเหอ ทนไม่ได้แล้ว ทนไม่ได้แล้ว”

ในเรื่องราวนี้ หลินเป่ยเฉินต้องเป็นผู้ที่โดดเด่นเพียงคนเดียวเท่านั้น

เขาจะให้คนอื่นมาขโมยความโดดเด่นไปไม่ได้เด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดหาวิธีกำจัดบุรุษหนุ่มแขนเดียวบนสังเวียนประลองด้วยความเคียดแค้น

ทันใดนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ถังกงเยวียนประกาศการประลองคู่ต่อไปพอดี

และมันก็คือการพบกันระหว่างสำนักคฤหาสน์กำยานกับสำนักกระบี่ทรงกลด

เซวียนหมิงเจ้าสำนักกระบี่ทรงกลดทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนสังเวียนประลองด้วยความกระตือรือร้น

“อุวะฮ่า ๆๆ โอกาสเฉิดฉายของเรามาถึงแล้วโว้ย”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ

แต่เขายังไม่ทันได้สะกิดปลายเท้าพุ่งตัวออกไปข้างหน้า เหยียนหรู่อี้กลับฉกฉวยจังหวะนี้ ทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลองเรียบร้อยแล้ว

“อ้าว เฮ้ย…”

หลินเป่ยเฉินอ้าปากเหวอ

“สภาพจิตใจของคุณชายยังไม่เหมาะสมสำหรับการออกไปประลองในขณะนี้”

“คุณชายสมควรใช้เวลาสงบจิตสงบใจสักครู่”

“แต่เหตุผลสำคัญก็คือ พวกเราเข้าร่วมการประลองในฐานะตัวแทนจากสำนักคฤหาสน์กำยาน แต่มีข้าเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มาจากสำนักคฤหาสน์กำยานจริง ๆ อย่างน้อย ข้าก็สมควรต้องออกมาแสดงฝีมือสักครั้ง”

เสียงของเหยียนหรู่อี้ดังขึ้นในหูหลินเป่ยเฉิน

ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมนั่งลงตามเดิม

บนสังเวียนประลอง การต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เหยียนหรู่อี้นับเป็นยอดมือกระบี่หญิงผู้หนึ่ง ต้องไม่ลืมว่านางบรรลุสู่ขั้นเซียนมานานแล้ว จึงผ่านประสบการณ์ต่อสู้มาอย่างโชกโชน การประลองอันดุเดือดดำเนินไปได้เพียงหนึ่งก้านธูป เหยียนหรู่อี้ก็สามารถเอาชนะเซวียนหมิงได้อย่างราบคาบ ส่งผลให้สำนักคฤหาสน์กำยานเริ่มเปิดฉากการประลองรอบที่สองได้อย่างสวยงามยิ่ง

เซวียนหมิงเดินออกจากสังเวียนประลองไปเสมือนร่างไร้วิญญาณ

เหยียนหรู่อี้เหินร่างขึ้นมาจากสังเวียนประลองโดยไม่ลังเล

“หลังจากนี้ได้เวลาแสดงฝีมือของคุณชายแล้ว”

หญิงสาวทิ้งตัวกลับมายังอาณาเขตที่นั่งของสำนักคฤหาสน์กำยานพร้อมกับถามว่า “เป็นอย่างไร? เมื่อสักครู่ คุณชายได้ดูข้าแสดงฝีมือบ้างหรือไม่?”