ในเวลานี้ ทุกคนที่เข้าร่วมการสำรวจซากปรักหักพังของต้นไม้โลกล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่โดยที่บรรดาจอมยุทธ์อิสระรวมตัวกันอยู่ในรอบนอกเพื่อรับชมเรื่องสนุก ๆ ในขณะที่ขุมกำลังใหญ่ประจันหน้ากัน
“พวกเจ้าแน่ใจรึว่าอยากมีเรื่องกับตระกูลเยี่ยของข้า ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และทุกคนที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ จู่ ๆ เยี่ยซีก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
แม้ตระกูลเยี่ยและตระกูลหนิงจะร่วมมือกันซึ่งทำให้กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงวางใจไม่ได้
“อย่าติดทองบนหน้าตนเองไปหน่อยเลย เจ้าเพียงคนเดียวจะเป็นตัวแทนของตระกูลเยี่ยได้อย่างไรกัน ? ต่อให้เจ้าจะเป็นได้จริง ๆ แล้วอย่างไรเล่า ? เพียงแค่ตระกูลเยี่ย คิดว่าพวกข้าจะกลัวอย่างนั้นหรือ ?”
* 往自己脸上贴金 ติดทองบนหน้าตนเอง ความหมายคือ สำคัญตัวเอง ยกย่องตัวเอง
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
แม้ยังไม่ทราบถึงสถานการณ์ของฉินเฟิง ทว่าจากข้อมูลที่ได้รับจากไป๋เสี่ยวหลง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเยี่ยซีก็ไม่ได้ดีนัก เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ต้องมีเรื่องบาดหมางกับเยี่ยซีในสักวัน และตอนนี้ถือเป็นการประจันหน้ากันล่วงหน้าเท่านั้น
“กล่าววาจาโอ้อวดได้อย่างไม่อายปาก วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้พวกเจ้าได้รู้ซึ้งถึงชะตากรรมของการที่ท้าทายตระกูลเยี่ยของข้า !”
เยี่ยซีโบกมือส่งสัญญาณและคนตระกูลเยี่ยก็ตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่และสหายทันที คนตระกูลหนิงก็เข้าล้อมรอบคนตระกูลไป๋เพื่อขัดขวางมิให้พวกเขาเข้ามาช่วยได้
“สหายน้อยทั้งหลาย เราจะถ่วงเวลาคนพวกนี้ไว้ พวกเจ้าคิดหาทางหลบหนีออกไปก่อนเถอะ”
ไป๋เสี่ยงหลงส่งกระแสจิตสื่อสารกับฉินอวี้โม่และทุกคนโดยที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เขาตระหนักดีว่าพวกตนมิใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเยี่ยและคณะของฉินอวี้โม่อาจจะตกอยู่ในอันตรายหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป อย่างไรก็ตาม ตระกูลไป๋ของพวกเขาได้รับการคุ้มครองจากตระกูลใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ต่อให้พวกเขาหักหน้าอีกฝ่าย เยี่ยซีก็ยังต้องลังเลใจและไม่กล้าทำอะไรพวกเขาอย่างเกินเลยเป็นแน่
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ บังเอิญว่าตอนนี้พวกเราก็สามารถประหยัดแรงและเวลาโดยการยืมมือของคนตระกูลเยี่ยเหล่านี้เพื่อเข้าไปที่จวนตระกูลเยี่ยโดยตรง”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและไม่คิดที่จะต่อต้านขัดขืนอีกต่อไป ถึงอย่างไรพวกนางก็ต้องไปที่ตระกูลเยี่ยในไม่ช้าก็เร็ว เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้เยี่ยซีและคณะพาพวกตนไปที่นั่น
หากทำเช่นนี้ พวกนางก็จะสามารถแฝงตัวเข้าไปในตระกูลเยี่ยได้อย่างง่ายดายและเฝ้ารอจังหวะที่เหมาะสมในการลงมือโดยไม่เป็นที่สงสัยของผู้ใด
ไป๋เสี่ยวหลงก็คาดเดาความหมายของฉินอวี้โม่ได้ทันทีและไม่กล่าวสิ่งใดอีกต่อไป
“เยี่ยซี ข้าจะให้เมล็ดพันธ์ุของต้นไม้โลกกับเจ้าและตระกูลไป๋ของเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้อีกต่อไป !”
ไป๋เสี่ยวหลงกล่าวออกมาก่อนโยน ‘เมล็ดพันธ์ุของต้นไม้โลก’ ให้กับเยี่ยซีทันที จากนั้นเขาก็นำคนตระกูลไป๋มุ่งหน้าออกจากซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว
“เหอะ ถือว่ารู้จักขีดจำกัดของตนเองดี !”
เยี่ยซีแค่นเสียงเย็นชาและมองเมล็ดพันธ์ุในมือก่อนคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“พวกเจ้ายังคิดที่จะขัดขืนอีกรึไม่ ?”
คนตระกูลเยี่ยกล่าวขณะล้อมรอบกลุ่มของฉินอวี้โม่และทำให้พวกนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับจนหนทาง
“ตราบใดที่พวกเจ้ายอมจำนนต่อนายน้อยผู้นี้ นายน้อยผู้นี้ก็สามารถไว้ชีวิตพวกเจ้าได้ !”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ทางสู้ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเยี่ยซี
ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ถือว่าไม่ธรรมดาเลย หากเขาสามารถนำมันมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองได้ สถานะของเขาในตระกูลเยี่ยก็จะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน
แม้เขาจะเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยี่ย แต่สถานะของเยี่ยซีในตระกูลก็ไม่มั่นคงนัก เดิมทีความแข็งแกร่งของเขาจัดเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของตระกูลเยี่ย ทว่าหลังจากที่ฉินเฟิงกลับมา สถานะของเขาก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก หากจับตัวฉินอวี้โม่และสหายกลับไปเป็นลูกสมุนได้ เยี่ยซีเชื่อว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมาก
เมื่อถึงตอนนั้น เขาไม่เพียงแต่จะได้รับความสนใจจากบรรดาผู้อาวุโสมากขึ้นเท่านั้น ทว่าแม้แต่ ‘ตาเฒ่า’ ของตระกูลเยี่ยก็ต้องมองเขาในภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
“นั่นเป็นความจริงรึ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งใดทว่าฟู่อวิ๋นซิวเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกายและแสร้งแสดงความสนใจ
“แน่นอนว่าวาจาของข้าผู้นี้เป็นจริงทุกประการ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมจำนนต่อข้า ข้าไม่เพียงแต่จะไว้ชีวิตพวกเจ้าเท่านั้น ทว่าจะแนะนำพวกเจ้ากับอาจารย์ของข้าเพื่อให้พวกเจ้ากลายเป็นที่สนใจในตระกูลเยี่ย !”
เยี่ยซีกล่าวอย่างวางมาด ทว่าสิ่งที่เขากล่าวออกไปก็เป็นความจริงทั้งสิ้น เขาเป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสใหญ่ แน่นอนว่าเขาสามารถแนะนำฉินอวี้โม่และสหายต่อผู้อาวุโสใหญ่ได้ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของคนเหล่านี้ เชื่อว่าตระกูลเยี่ยจะให้ความสำคัญกับพวกนางอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ต่อให้จะไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน พวกนางก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขาแต่โดยดี เมื่อถึงตอนนั้น พวกนางจะมีส่วนช่วยเขาได้มากและถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมกับขุมกำลังใหญ่มิใช่หรือ ?”
เซิ่งเซียวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและเอ่ยถามด้วยวาจาที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าพวกตนเป็นจอมยุทธ์อิสระ
“เราซ่อนตัวฝึกวิชามานานหลายปีและการออกมาท่องยุทธภพในครานี้ก็เป็นเพราะต้องการทรัพยากรที่ดีกว่า ตระกูลเยี่ยเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากเราเข้าร่วมกับพวกเขา มันจะเป็นประโยชน์สำหรับการฝึกยุทธ์ของเราทุกคนในอนาคต”
ฟู่อวิ๋นซิวกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังและจงใจทำให้เยี่ยซีได้ยินอย่างชัดเจน
“ถ้าเช่นนั้นเรายอมจำนนและเข้าร่วมตระกูลเยี่ยจะดีรึไม่ ?”
อวิ๋นซื่อเทียนแสร้งกล่าวออกไปเช่นกันขณะเอ่ยถามความเห็นของฉินอวี้โม่
“เหอะ ไม่มีทางเสียหรอก ต่อให้เข้าร่วมกับตระกูลเยี่ยจริง ๆ เขาก็ต้องหาทางกดขี่ข่มเหงพวกเราเป็นแน่ พวกเจ้าทุกคนรู้นิสัยของข้าดี ข้าไม่มีทางยอมให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ แน่ !”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงและชำเลืองมองไปที่เยี่ยซีขณะส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ไม่ต้องกังวล นายน้อยผู้นี้มิใช่คนใจแคบ หากพวกเจ้ายอมจำนนต่อข้า ข้าจะลืมเลือนเรื่องในอดีตไปทั้งหมด”
เยี่ยซีได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และกล่าวให้คำมั่นออกไป
“อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจและทรยศข้า พวกเจ้าต้องกินโอสถนี้เข้าไป ไม่ต้องห่วง..มันไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงใด ๆ การใช้ยาถอนพิษในทุกสามเดือนจะทำให้โอสถนี้ไร้ผล แน่นอนว่าหากพวกเจ้าขาดยาถอนพิษไปนานกว่าสามเดือน จุดจบของพวกเจ้าจะเลวร้ายมาก ถ้าอยากจะเข้าร่วมตระกูลเยี่ยจริง พวกเจ้าต้องกลืนกินโอสถนี้เพื่อแสดงความจริงใจ”
เขากล่าวอธิบายพร้อมหยิบโอสถสีดำจำนวนหนึ่งออกมา
“แน่ใจรึว่าเจ้าจะไม่ถือโอกาสนี้ในการลอบวางยาและสังหารพวกเรา ?”
ฉินอวี้โม่เสแสร้งทำเป็นไม่เชื่อและชำเลืองมองโอสถเหล่านั้นด้วยแววตาไม่ไว้ใจ นางไม่ทราบว่ามันคือโอสถชนิดใด ทว่าในเมื่อมีซิวอยู่ด้วย ไม่ว่าโอสถใดก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อนาง
“นายน้อยอย่างข้าพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ หากข้าบอกว่าจะลืมเลือนเรื่องในอดีตไป ข้าก็จะไม่สนใจมันอีก อีกอย่าง…หากไม่ยอมจำนนต่อข้า พวกเจ้าก็จะต้องตาย เพราะฉะนั้นก็เลือกเอาเถอะ !”
น้ำเสียงของเยี่ยซีเริ่มแสดงให้เห็นถึงการหมดความอดทนเล็กน้อยขณะกล่าวเพื่อให้ฉินอวี้โม่และสหายตัดสินใจด้วยตัวเอง
“ข้าจะกลืนกินโอสถนั่นเพียงคนเดียวและสหายของข้าไม่จำเป็นต้องกินมัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะมั่นใจได้และไม่ต้องสงสัยในตัวเจ้าอีก”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำท่าใช้ความคิดครู่ใหญ่ก่อนเสนอเงื่อนไขของตน
“ตกลง เช่นนั้นก็ได้ !”
เยี่ยซีทราบดีว่าอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ เห็นฉินอวี้โม่เป็นผู้นำ ตราบใดที่เขาควบคุมฉินอวี้โม่ได้ มันก็เทียบเท่ากับการควบคุมทุกคน เพราะเหตุนั้นเขาจึงพยักศีรษะและตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าและรับโอสถจากมือของเขาก่อนกลืนลงไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
เยี่ยซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อยทันที โอสถดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่หลอมขึ้นมาด้วยตัวเองซึ่งเป็นยาพิษที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก นอกเหนือจากยาถอนพิษในมือของเขาและผู้อาวุโสใหญ่ มันก็ไม่มีทางอื่นที่จะลบล้างพิษไปได้
เพราะเหตุนั้น เมื่อเห็นฉินอวี้โม่กลืนมันลงไปด้วยตาตัวเอง เขาจึงไม่กังวลว่านางจะทรยศอีกต่อไป
น่าเสียดายที่เขาไม่ทราบเกี่ยวกับสภาวะร่างกายที่พิเศษของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย และยาพิษที่น่าสะพรึงกลัวของเขานั้นไม่มีผลใด ๆ กับนางทั้งสิ้น
“ถ้าเช่นนั้นเราก็กลับไปที่ตระกูลเยี่ยกันเถอะ”
หลังจากที่เห็นฉินอวี้โม่กลืนกินโอสถพิษลงไป เยี่ยซีก็พยักศีรษะอย่างพึงพอใจทันที