ทุกคนออกจากซากปรักหักพังของต้นไม้โลกและมุ่งหน้าไปยังเมืองเซิ่งหลิง
เดิมทีฉินอวี้โม่และสหายวางแผนที่จะไปที่เมืองระดับหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลเพื่อติดต่อขอยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของที่นั่น ทว่าตอนนี้การที่เดินทางไปพร้อมกับเยี่ยซี มันก็ช่วยประหยัดเวลาและลดความวุ่นวายไปได้มาก
เยี่ยซีพาตัวฉินอวี้โม่และสหายมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองของเมืองระดับหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยตรง และหลังจากเปิดเผยสถานะของตนเอง เจ้าเมืองก็อนุญาตให้เขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ทันที
หลังจากก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย ภายในชั่วพริบตา ทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่นอกเมืองเซิ่งหลิงไปประมาณสามสิบลี้
ค่ายกลเคลื่อนย้ายของเมืองเซิ่งหลิงถูกตั้งไว้ในพื้นที่ล่าสัตว์ห่างจากตัวเมืองไปประมาณสามสิบลี้และอยู่ภายใต้การคุ้มกันของผู้อาวุโสสองคนจากจวนเจ้าเมืองเซิ่งหลิง
เมื่อเห็นเยี่ยซีและคนอื่น ๆ ก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย ผู้อาวุโสทั้งสองก็เพียงชำเลืองมองเล็กน้อยก่อนละสายตาไปโดยไม่สนใจมากนัก
แม้ตระกูลเยี่ยจะเป็นตระกูลที่แข็งแกร่ง เจ้าเมืองเซิ่งหลิงก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวพวกเขาแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน แม้แต่ผู้นำตระกูลเยี่ยก็ยังต้องเกรงใจเจ้าเมืองเซิ่งหลิงอยู่บ้าง เพราะเจ้าเมืองของเมืองใหญ่หลายแห่งถูกส่งมาจากสถาบันวิญญาณศักดิ์สิทธิ์—ขุมกำลังที่ใหญ่ที่สุดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
สถาบันวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีพลังอำนาจและอิทธิพลที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งดินแดนนี้ อีกทั้งพวกเขายังเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังและลึกลับที่สุดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อธิการแห่งสถาบันวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็มีสถานะที่สูงส่งเช่นกัน
กล่าวกันว่าอธิการของสถาบันวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นทายาทโดยตรงของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และมีความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้นำสูงสุดของตระกูลใหญ่ ๆ ก็เป็นได้เพียงมดปลวกในสายตาของเขาและมิอาจต่อต้านขัดขืนได้เลย
เพราะเหตุนั้น แม้ระดับความแข็งแกร่งของเจ้าเมืองของเมืองใหญ่แต่ละเมืองจะไม่สูงนัก ทว่าบรรดาผู้นำของทุกตระกูลก็ยังต้องหวาดหวั่นต่อพวกเขาอยู่ไม่น้อย
เมืองเซิ่งหลิงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเป็นเมืองที่มีอัตราการเข้า-ออกของผู้คนมากที่สุดในดินแดนอีกด้วย
นอกเหนือจากตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเยี่ย ตระกูลหูและตระกูลเซี่ย เมืองเซิ่งหลิงก็ยังเป็นถิ่นฐานของขุมกำลังระดับสองหลายแห่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และมีตระกูลอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกับตระกูลหนิงและตระกูลไป๋อีกนับสิบตระกูล
แม้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเหล่านั้นจะเทียบกับตระกูลระดับหนึ่งทั้งสามตระกูลไม่ได้ ทว่าพวกเขาก็ถือว่าไม่อ่อนแอเลยเช่นกัน หากอยู่ในเมืองรอง พวกเขาจะกลายเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน
และก็เช่นเดียวกับตระกูลไป๋และตระกูลหนิง ขุมกำลังเหล่านั้นต่างก็เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลระดับหนึ่งแต่ละแห่งส่งผลให้ขั้วอำนาจของเมืองเซิ่งหลิงแบ่งออกเป็นสามส่วนอย่างสมบูรณ์
เมื่อเข้ามาในเมืองเซิ่งหลิง หลายคนก็จดจำเยี่ยซีได้และเข้ามากล่าวทักทายเขาตาม ๆ กัน
เยี่ยซีเป็นศิษย์เอกของเยี่ยไป๋เหมย—ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเยี่ยและมีสถานะที่สูงพอสมควรในตระกูล นอกเหนือจากทายาทสายตรงสามคนของตระกูลเยี่ย เขาถือเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นและรูปลักษณ์ที่ดีพอสมควรของเยี่ยซี เขาจึงได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองเซิ่งหลิงและมีสตรีที่แอบปลื้มเขาอยู่มากมาย
เมื่อสตรีเหล่านั้นเห็นฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนติดตามเยี่ยซีกลับมา สีหน้าของพวกนางก็เปลี่ยนไปทันทีและเริ่มซุบซิบนินทากันเบา ๆ
“พวกนางเป็นใครกัน ?”
“พวกนางก็หมายปองคุณชายเยี่ยซีอยู่เช่นกันรึ ? เหตุใดจึงติดตามเขาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ?!”
“เหอะ คุณชายเยี่ยซีเป็นของพวกเรา จู่ ๆ สตรีสองคนก็โผล่มาอย่างไร้ที่มาและคิดจะแย่งเขาไปจากเรางั้นรึ ? ไม่มีทางเสียหรอก !”
…..
เสียงซุบซิบดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนถึงกับพูดไม่ออก เยี่ยซีบุรุษผู้น่ารังเกียจนี่…แม้แต่จะให้ผูกเชือกรองเท้า พวกข้าก็ยังไม่เต็มใจด้วยซ้ำ ! ทว่าสตรีเหล่านี้ก็ยังชื่นชมเขาได้ลงคอ พวกนางช่างโง่เขลาโดยแท้…
ในเวลานี้ เยี่ยซีก็วางท่าทะนงตนอย่างเห็นได้ชัดก่อนชำเลืองมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตายียวนราวกับภาคภูมิใจในตนเองเสียเต็มประดา
ไม่แปลกใจเลยที่สตรีเหล่านั้นจะซุบซิบกันอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะแม้จะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปมากแล้ว ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็ยังงดงามสะดุดตาพอสมควร นอกจากนี้ พวกนางก็ยังมีกลิ่นอายของความสง่างามที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกด้อยค่าและริษยาได้ง่าย ๆ
พวกนางเมินเฉยต่อเสียงซุบซิบนินทาของสตรีเหล่านั้นและเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปถึงที่ข้างหน้าจวนตระกูลเยี่ย
ผู้พิทักษ์คุ้มกันหน้าประตูสองคนก็มองเห็นเยี่ยซีและกล่าวทักทายเขาพร้อมรอยยิ้ม
“คุณชายเยี่ยซีกลับมาแล้ว”
พวกเขาก็ชำเลืองมองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก่อนกล่าวทักทายพวกนางอย่างนอบน้อมเช่นกัน
“ข้าจะพาพวกเจ้าไปพบผู้อาวุโสใหญ่ก่อน”
เยี่ยซีไม่คิดที่จะไปพบผู้นำตระกูลเยี่ยด้วยซ้ำและตัดสินใจพาคณะของฉินอวี้โม่ตรงไปยังเรือนของผู้อาวุโสใหญ่
เวลานี้ ภายในอาณาเขตที่พักของผู้อาวุโสใหญ่มีบุรุษชราที่อยู่ในช่วงวัยหกสิบปีคนหนึ่งกำลังนั่งจิบน้ำชาอย่างสบาย ๆ
ความแข็งแกร่งของบุรุษชราผู้นี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลยและอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราซึ่งฉินอวี้โม่ไม่สามารถมองทะลุถึงพลังของเขาได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของเขาก็ทำให้เขาดูเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ทราบมาจากไป๋เสี่ยวหลง ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเยี่ยเป็นคนเจ้าเล่ห์และฝักใฝ่ในอำนาจซึ่งมักจะวางแผนการชั่วร้ายและยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง คนทั้งตระกูลเยี่ยและแม้แต่ผู้นำตระกูลเยี่ยก็หวาดหวั่นต่อเขาอยู่ไม่น้อย กล่าวได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างแท้จริง
“ซีเอ๋อร์กลับมาแล้วรึ เป็นอย่างไรบ้าง ? การเดินทางครานี้ได้อะไรกลับมารึไม่ ?”
เยี่ยไป๋เหมยยิ้มให้กับเยี่ยซีก่อนสายตาเลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมกับแรงกดดันที่แผ่ออกไปครอบงำพวกนาง
“ท่านอาจารย์ขอรับ สำหรับการเดินทางไปที่เมืองฝู่ฮว๋าครานี้ ข้าบังเอิญได้สมบัติของต้นไม้โลกกลับมา นี่ก็ควรจะเป็นเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกขอรับ”
เยี่ยซีกล่าวบอกเยี่ยไป๋เหมยเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองฝู่ฮว๋าก่อนชี้ไปที่ฉินอวี้โม่และสหายพร้อมรอยยิ้ม “คนพวกนี้คือจอมยุทธ์ฝีมือดีที่ข้าพบโดยบังเอิญ พวกนางเป็นจอมยุทธ์อิสระที่มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมและต้องการจะเข้าร่วมกับตระกูลเยี่ยของเรา ข้าจึงพาพวกนางกลับมาด้วยขอรับ”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อธิบายรายละเอียดเรื่องความบาดหมางระหว่างพวกตนและฉินอวี้โม่
“พวกนางถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีจริง ๆ”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่และสหายยังคงสงบนิ่งอยู่ได้แม้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากเขา เยี่ยไป๋เหมยก็พยักศีรษะเบา ๆ อย่างพึงพอใจ
“ในเมื่อเจ้าเป็นคนพบพวกนาง ในอนาคตก็ให้พวกนางฝึกฝนกับเจ้าก็แล้วกัน หวังว่าพวกเจ้าจะหมั่นเพียรพัฒนาความแข็งแกร่งและไม่ทำให้ข้าผิดหวัง !”
เขากล่าวกับเยี่ยซีก่อนหันไปกล่าวกับกลุ่มของฉินอวี้โม่โดยที่ไม่สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของพวกนางแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ ไปจัดหาที่พักให้กับพวกนางก่อนเถอะ และอย่าลืมอธิบายพวกนางเกี่ยวกับกฎของตระกูลเยี่ยด้วย”
เขาโบกมือให้เยี่ยซีพาตัวฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ออกไปในขณะที่สายตาของตนจับจ้องอยู่ที่เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกในมือและแววตาแสดงความใคร่รู้อย่างเต็มเปี่ยม
เยี่ยซีพยักศีรษะรับคำก่อนนำทางคนทั้งสี่ออกจากบริเวณเรือนของเยี่ยไป๋เหมยทันที
หลังจากนั้น เขาก็พาฉินอวี้โม่และสหายไปยังเขตเรือนที่พักสำหรับศิษย์ของตระกูลและจัดให้พวกนางพักในเรือนเล็ก ๆ สำหรับสี่คน
“ตอนนี้พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ภายในตระกูลเยี่ยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก แต่จงจำไว้ว่าอย่าออกไปเดินเพ่นพ่านรอบ ๆ เพราะพวกเจ้าอาจจะไปพบกับคนที่ไม่ควรจะพบได้ !”
หลังจากกำชับกับคนทั้งสี่ เยี่ยซีก็หันหลังเดินจากไปและเหลือไว้เพียงผู้พิทักษ์สองคนหน้าประตูโดยกล่าวไว้ว่าหากเกิดเรื่องใดก็สามารถขอให้คนทั้งสองไปเรียกเขามาได้ ทว่าในขณะเดียวกัน ผู้พิทักษ์ทั้งสองนี้ก็มีไว้เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่และสหายเช่นกัน
ฉินอวี้โม่และคณะไม่สนใจแม้แต่น้อยขณะแยกย้ายไปหาห้องพักของตนอย่างสบาย ๆ
สำหรับช่วงแรกของการอยู่ในจวนตระกูลเยี่ย พวกนางวางแผนที่จะเก็บตัวสงบเสงี่ยมไว้ก่อนและค่อย ๆ หาทางสืบข้อมูลเกี่ยวกับฉินเฟิงอย่างเงียบ ๆ เพื่อมิให้ใครนึกสงสัยซึ่งอาจจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
“ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบรรยากาศรอบ ๆ ของตระกูลเยี่ย”
อวิ๋นซื่อเทียนนั่งลงในห้องของฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
ตระกูลเยี่ยเป็นหนึ่งขุมกำลังระดับหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เพราะเหตุนั้นบรรยากาศของมันจึงไม่ควรที่จะเงียบสงัดเช่นนี้ ระหว่างทางมาที่นี่ พวกนางก็พบเจอกับผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกพิลึกอย่างแท้จริง…