ตลอดหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่และคณะก็พักอยู่แต่ในเรือนและฝึกวิชากันอย่างเงียบ ๆ
นอกเหนือจากผู้พิทักษ์สองคนหน้าประตูและอาหารที่ถูกส่งมาจากโรงครัวสามมื้อต่อวันก็ไม่มีใครอื่นเข้ามาในบริเวณเรือนของพวกนางอีกเลย แม้แต่เยี่ยซีที่กลับไปหลังจากจัดที่พักให้พวกนางในวันนั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีก
เดิมทีพวกนางคิดว่าการที่ติดตามมากับเยี่ยซีจะทำให้พวกตนตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่นและอาจจะมีบางคนที่เข้ามาหาพวกนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น หรืออาจจะมีบางคนที่เข้ามากดขี่พวกนางด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่และสหายก็มั่นใจขึ้นมากว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างในตระกูลเยี่ยอย่างแน่นอน คนเหล่านั้นจึงไม่มีเวลาสนใจคนแปลกหน้าที่เข้ามาใหม่เช่นพวกนางทั้งสี่คน
เนื่องจากยังไม่ต้องการกระตุ้นความสงสัยของคนตระกูลเยี่ยในตอนนี้ ฉินอวี้โม่จึงเก็บตัวเงียบต่อไปและไม่พยายามแม้แต่จะสืบหาข่าวใด ๆ
เมื่อผู้พิทักษ์ทั้งสองเห็นว่าพวกนางเพียงฝึกวิชาและเก็บตัวกันอย่างเงียบ ๆ พวกเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยและไม่จับตาดูพวกนางอย่างเข้มงวดอีกต่อไป แม้ว่ากลุ่มของฉินอวี้โม่จะต้องการออกไปเดินสำรวจรอบ ๆ เขตที่พักของศิษย์ ทั้งสองก็ไม่ขัดขวางพวกนางทว่าติดตามไปด้วยและหลีกเลี่ยงมิให้พวกนางเข้าไปในสถานที่ที่ไม่ควรไป
“พี่ชายทั้งสอง ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในตระกูลเยี่ยอย่างนั้นหรือ ?”
เวลานี้ ผู้พิทักษ์ทั้งสองซึ่งมีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราก็เข้ามาส่งอาหารตามปกติ ฉินอวี้โม่จึงถือโอกาสเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
พวกเขาชำเลืองมองนางเล็กน้อยและเมื่อเห็นว่านางเพียงสงสัยใคร่รู้ พวกเขาจึงไม่มีท่าทีหงุดหงิดหรือไม่พอใจแต่อย่างใด
“ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเจ้าก็ถือเป็นสมาชิกของตระกูลเยี่ยแล้ว ในเมื่ออยากรู้ ข้าก็จะบอกพวกเจ้า”
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง พวกเขาก็เริ่มเล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาให้ฉินอวี้โม่และสหายได้ทราบอย่างใจเย็น
“เมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ ผู้นำตระกูลของเราก็ล้มป่วยไม่ได้สติไปและมีอาการที่เลวร้ายมาก เกรงว่าอีกไม่นานเขาก็คงจะสิ้นใจ ในช่วงที่ผ่านมานี้ตระกูลเยี่ยของเราก็เกิดการต่อสู้ภายในอย่างดุเดือด เมื่อพวกเจ้ากลับมากับเยี่ยซีในครานี้ก็หมายความว่าพวกเจ้าเลือกเข้าร่วมในฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่แล้ว ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเก็บตัวอยู่ในเรือนและไม่ออกไปเพ่นพ่านจะดีกว่า พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องเผชิญกับอันตรายใดที่คาดไม่ถึง”
พวกเขากล่าวอธิบายอย่างคร่าว ๆ และกำชับพวกนางก่อนออกจากเรือนไป
“ผู้นำตระกูลเยี่ยคือผู้ที่พบตัวศิษย์พี่มิใช่รึ ? เขากำลังจะตายอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นพลางใช้ความคิด แน่นอนว่านางทราบเกี่ยวกับผู้นำตระกูลเยี่ยที่อีกฝ่ายกล่าวถึงอยู่บ้าง
เขามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกับฉินเฟิงและเป็นคนที่ตามหาฉินเฟิงจนพบและสั่งให้คนของตระกูลออกไปรับตัวฉินเฟิงกลับมา
บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่าความตายของตนกำลังจะมาถึง เขาจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะตามหาฉินเฟิงให้ได้ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ยังมิอาจยืนยันสิ่งใดได้ในตอนนี้…
“เราจะต้องสืบให้ได้ก่อนว่าตอนนี้ศิษย์พี่อยู่ที่ใดและหาทางไปพบกับเขาให้ได้”
ฉินอวี้โม่มองอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดสนิทและคนตระกูลเยี่ยก็หลับใหลกันไปแล้ว ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามจึงก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนขับเคลื่อนออกไปสำรวจรอบ ๆ จวนตระกูลเยี่ย
จวนตระกูลเยี่ยนั้นมีอาณาเขตที่กว้างขวางเป็นอย่างยิ่งและกว้างยิ่งกว่าพระราชวังของตระกูลราชวงศ์ในมณฑลกลางของดินแดนมหาเทพหลายเท่าตัวนัก
เขตที่พวกนางพักอยู่ในตอนนี้คือทางตะวันตกซึ่งเป็นฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่ ในขณะที่ผู้นำตระกูลเยี่ยและทายาทสายตรงของตระกูลล้วนพักอยู่ในทางตะวันออก
หลังออกมาจากเรือนที่พักของตน ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวมุ่งหน้าไปยังเรือนหลักของตระกูลเยี่ยด้วยความเร็วที่ไม่ช้าและไม่เร็ว
แม้คฤหาสน์เฟิงหัวของนางจะพัฒนาขึ้นมามากและยากที่ผู้ใดจะค้นพบ ทว่าโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากมายนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นแล้วการระมัดระวังให้มากย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
แม้จะเป็นเวลาค่ำมากแล้ว ทว่าภายในเรือนหลักของตระกูลเยี่ยก็ยังคงส่องแสงสว่างออกมาและทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยกำลังรวมตัวกันในห้องหนึ่งด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ หรือ ?”
บนเตียงขนาดใหญ่มีบุรุษชราผู้หนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น เส้นผมและหนวดเคราของเขาเป็นสีขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของวัยชราและลมหายใจอ่อนแออย่างยิ่ง บุรุษชราผู้นี้ก็คือเยี่ยชางไห่—ผู้นำตระกูลเยี่ยนั่นเอง
ด้านข้างเตียงของเขาคือทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยที่มารวมตัวกันทว่าไม่มีวี่แววของฉินเฟิงอยู่ด้วย
“ร่างกายของท่านพ่ออ่อนแอลงเต็มทีและเราคงมีเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว เว้นแต่ว่าจะพบโอกาสที่ยิ่งใหญ่บางอย่าง ท่านพ่อคงจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป”
บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวอย่างหมดหนทาง เขาคือเยี่ยหมิง—บุตรชายของเยี่ยชางไห่ผู้ซึ่งทำหน้าที่รักษาการแทนผู้นำตระกูลเยี่ยเป็นการชั่วคราว พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเขาจัดอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้นและเอาชนะบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลไม่ได้ด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าเขาไม่มีอิทธิพลในตระกูลดังที่ควรจะเป็น ในตระกูลเยี่ยทุกวันนี้ นอกเหนือจากคนที่จงรักภักดีต่อเยี่ยชางไห่ก็แทบไม่มีผู้ใดให้ความเคารพตำแหน่งผู้นำตระกูลของเขาอย่างจริงจัง
“ชายแก่พวกนั้นทราบถึงสถานการณ์ของท่านพ่อดีและเริ่มที่จะหยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้พวกเขาก็แทบที่จะเปิดศึกกับเราอย่างเปิดเผยแล้ว พวกเขาต่างก็หมายปองตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ยของเรา หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งของข้าไม่มากพอ ข้าคงกำจัดชายแก่พวกนั้นเพื่อสะสางปัญหานี้ไปแล้ว !”
สตรีรูปงามวัยกลางคนกล่าวขึ้นมาโดยที่มีสีหน้าตึงเครียดไม่ต่างกัน รูปลักษณ์ของนางมีส่วนคล้ายกับฉินเฟิงอยู่หลายส่วนและมีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราซึ่งไม่ถือว่าทรงพลังจนเกินไป
เมื่อกล่าวถึงบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเยี่ย นางก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะสังหารพวกเขาให้สิ้นซาก
หากมิใช่เพราะสถานการณ์ของบิดา ผู้อาวุโสเหล่านั้นจะกล้าเสนอหน้าออกมาเช่นนี้และทำให้สถานการณ์ของตระกูลเยี่ยกลายเป็นเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร
“น่าเสียดาย ทั้งที่ข้าเป็นทายาทสายตรง ข้าก็ทำอะไรผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่ได้ หากข้ามีพลังสักสามในสิบส่วนของท่านพ่อ ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลเยี่ยของเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แน่ !”
เยี่ยหมิงกำหมัดแน่นและดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น
สีหน้าของคนอื่น ๆ ก็ดูโศกเศร้าระคนโกรธแค้นเช่นเดียวกันส่งผลให้บรรยากาศภายในห้องดูหดหู่อย่างที่สุด
“ทุก ๆ ท่าน อย่าเพิ่งหมดหวังไปเลยเจ้าค่ะ เราไม่ได้ไร้ความหวังเสมอไป อย่าลืมว่ายังมีพี่เฟิงอยู่อีกคน”
สตรีวัยยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีกล่าวด้วยวาจาที่ดึงดูดความสนใจของฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามทันที
พี่เฟิง...หรือว่านางจะหมายถึงฉินเฟิงที่พวกนางกำลังตามหา ?
“พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเจ้าหนูนั่นถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมากและเขาก็ดูมีภูมิฐานความสง่างามเหมือนกับบิดามารดาของเขาในอดีต เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาอาศัยอยู่ในดินแดนระดับต่ำซึ่งทำให้พลังของเขาพัฒนาช้าเกินไปและตอนนี้ก็ยังไม่ทรงพลังมากนัก ก่อนหน้านี้ท่านพ่อจึงส่งเขาไปที่ดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยโดยที่หวังว่าเขาจะได้ครอบครองมรดกจากบรรพบุรุษมา ตอนนี้ก็ผ่านมานานหลายปีแล้วทว่ายังไม่มีข่าวสารใด ๆ เราทุกคนต่างก็ทราบดีว่าดินแดนต้องห้ามเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใดและโอกาสที่เจ้าหนูนั่นจะได้รับมรดกมาก็มีไม่มากนัก…”
วาจาของเยี่ยหมิงยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่และสหายได้อย่างชัดเจน พี่เฟิงที่สตรีผู้นั้นกล่าวถึงก็คือฉินเฟิงอย่างแท้จริง
แรกเริ่มเดิมที เมื่อฉินเฟิงมาถึงที่ตระกูลเยี่ย เยี่ยชางไห่ก็ส่งเขาเข้าไปที่ดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยด้วยหวังว่าเขาจะได้สืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษและช่วยให้ตระกูลผ่านพ้นวิกฤตในครานี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาคาดการณ์ถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น
เพียงแต่ทายาทของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ล้วนทราบถึงสถานการณ์ของดินแดนต้องห้ามดีที่สุด แม้พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของฉินเฟิงจะอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะไม่รอดชีวิตออกมาจากที่นั่น…
ตอนนี้สถานการณ์ของเยี่ยชางไห่ก็ไม่สู้ดีนักและใกล้ที่จะสิ้นใจเต็มที หากเยี่ยเฟิงยังไม่ออกมาอีก เกรงว่าทายาทของตระกูลเยี่ยเหล่านี้คงจะถึงคราวจบสิ้น
“เชื่อมั่นในตัวเขาเถอะเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรท่านตาก็มั่นใจในตัวเขามาก เขาจะต้องมีไพ่ตายที่เราไม่ทราบเป็นแน่ ตอนนี้เราทำได้เพียงยื้อเวลาให้นานที่สุด เมื่อพี่เฟิงออกมา เราอาจจะมีโอกาสกอบกู้สถานการณ์นี้ได้”
สตรีผู้นั้นกล่าวขึ้นอีกครั้งเพื่อปลอบใจทั้งตนเองและคนอื่น ๆ ตอนนี้พวกนางไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือการเชื่อมั่นในตัวฉินเฟิงและยื้อเวลาไว้เพื่อรอให้ฉินเฟิงออกมาเท่านั้น…
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามมองหน้ากันและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาต่อมา ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏกายขึ้นมาในห้อง ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของฉินเฟิงจะแตกต่างไปจากที่พวกนางทราบมาก่อนหน้านี้…
.
.