การปรากฏตัวของสตรีแปลกหน้าภายในห้องทำให้สมาชิกตระกูลเยี่ยตกตะลึงทันที
“เจ้าเป็นใครกัน ?!”
เยี่ยหมิงเป็นคนแรกที่เรียกสติกลับคืนมาและมองฉินอวี้โม่อย่างระแวดระวัง การที่แอบลักลอบเข้ามาในเรือนได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของสตรีผู้นี้เหนือกว่าพวกเขาอย่างแท้จริง หากนางเข้ามาที่นี่โดยที่มีเจตนาร้าย พวกเขาอาจจะต้านทานไว้ไม่ได้
คนอื่น ๆ ก็เข้าไปยืนขวางเยี่ยชางไห่ไว้ทันทีด้วยกังวลว่าฉินอวี้โม่จะทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อเขา
“ทุกคนไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้มาร้าย”
ฉินอวี้โม่โบกมือและกล่าวออกไป ปฏิกิริยาของทุกคนไม่เหนือไปจากความคาดหมายของนางแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรมันก็มิใช่เรื่องปกติที่จู่ ๆ จะมีคนแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นมาโดยที่พวกเขาไม่ทันได้รู้ตัว
“ข้าคือฉินอวี้โม่ ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อน”
นางเริ่มจากการแนะนำชื่อเสียงเรียงนามของตนและเห็นสีหน้าแปลกใจระคนตกตะลึงจากหลายคนตรงหน้า
แน่นอนว่าพวกเขาเคยได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่มาก่อน หลังจากสืบข่าวคราวเกี่ยวกับฉินเฟิง พวกเขาก็คุ้นเคยกับชื่อนี้พอสมควร
ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นและความแข็งแกร่งอันน่าทึ่ง นางก็ได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาจากดินแดนระดับต่ำและมีชื่อเสียงที่แพร่กระจายไปในหลายดินแดน อีกทั้งนางยังเป็นศิษย์น้องของฉินเฟิงและร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมามากมาย กล่าวได้ว่าทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ไว้วางใจกันที่สุด
“พวกเราจะพิสูจน์ตัวตนของเจ้าได้อย่างไร ?”
สีหน้าของเยี่ยหมิงยังคงระแวดระวังเช่นเดิมและไม่ปักใจในเชื่อวาจาของฉินอวี้โม่โดยง่าย
“รูปลักษณ์ใบหน้าของข้าเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด และก็ยังมีคฤหาสน์เฟิงหัว ในเมื่อพวกท่านสืบเรื่องศิษย์พี่ของข้ามา พวกท่านก็คงจะทราบเกี่ยวกับมิติที่สองของข้า”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
สมาชิกตระกูลเยี่ยต่างก็ตกตะลึงทันทีก่อนสตรีวัยกลางคนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“นางคือศิษย์น้องของเจ้าพ่อหนุ่มนั่นจริง ๆ และก็มีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกันมาก”
สตรีงามวัยกลางคนผู้นี้คือเยี่ยหลิงซี—บุตรสาวคนเดียวของผู้นำตระกูลเยี่ยและมีศักดิ์เป็นป้าของฉินเฟิง แม้ระดับความแข็งแกร่งของนางจะไม่สูงนัก ทว่าความสามารถในด้านอื่น ๆ ของนางก็โดดเด่นอย่างมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางทำหน้าที่เป็นมือขวาของเยี่ยชางไห่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
น่าเสียดายที่หลังจากเยี่ยชางไห่หมดสติไป นางก็กลายเป็นหนามยอกอกของคนมากมายและอิทธิพลของนางก็ถูกบั่นทอนไป นอกเหนือจากการดูแลเยี่ยชางไห่เพื่อมิให้ผู้ใดทำร้ายเขาได้ นางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีกเลย
“ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ข้าได้ข่าวมาว่ามีจอมยุทธ์ที่มากพรสวรรค์และมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่นเข้าร่วมกับผู้อาวุโสใหญ่หลายคน ข้าคิดว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเหล่านั้นคงจะเกี่ยวข้องกับเจ้าสินะ”
สตรีวัยยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีที่กล่าวมานี้มีนามว่า ‘เยี่ยอวิ้นเอ๋อร์’ ซึ่งเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเยี่ยหลิงซีและเป็นผู้ที่มากพรสวรรค์ที่สุดในบรรดาคนตระกูลเยี่ยในตอนนี้ ในบรรดาคนรุ่นใหม่ของทั้งตระกูล ความแข็งแกร่งของนางก็ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง
หากมิใช่เพราะนาง ผู้อาวุโสหลายคนก็คงจะไม่ลังเลมาจนถึงทุกวันนี้และตัดสินใจเปิดศึกกับสาขาหลักของตระกูลเยี่ยไปนานแล้ว
“ฉลาดทีเดียว”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มและไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้
ปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ทำให้นางทราบว่านางสามารถไว้วางใจพวกเขาได้ เพราะเหตุนั้น นางต้องหารือกับคนเหล่านี้ก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดต่อไป
ในเมื่อศิษย์พี่ของนางเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย นั่นหมายความว่าเขายอมรับสถานะของตนเองและคนเหล่านี้แล้ว เพราะเหตุนั้น ก่อนที่เขาจะกลับมา ฉินอวี้โม่ตั้งใจที่จะช่วยให้ตระกูลเยี่ยปลอดภัยและไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายใดกับพวกเขา
“ฮ่า ๆ ๆ นั่งลงก่อนเถอะ เราจะได้หารือกันอย่างจริงจัง”
เยี่ยหมิงหัวเราะอย่างพึงพอใจเช่นกัน เดิมทีพวกเขาแทบจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออกและอนาคตเต็มไปด้วยความมืดมิด ทว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขามีประกายความหวังขึ้นมา
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและนั่งลงพร้อมกับคนอื่น ๆ
“ไม่ต้องห่วง ทุกคนที่นี่เป็นคนที่ไว้วางใจได้และจะไม่มีใครเปิดเผยเรื่องที่เราหารือกันไปสู่คนนอก”
เยี่ยหมิงกล่าวยืนยันอีกครั้งเพื่อให้ฉินอวี้โม่กล่าวสิ่งที่ต้องการได้อย่างอิสระ
“ข้าขอตรวจดูอาการของท่านผู้นำเยี่ยได้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามความคิดเห็นของทุกคนก่อน เพราะถึงอย่างไร นางก็มีไพ่ตายอยู่กับตัวมากมายซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการของเยี่ยชางไห่ได้เพื่อที่ชีวิตของเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายเป็นการชั่วคราว
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”
เยี่ยหลิงซีลุกขึ้นและผายมือให้กับฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและเดินเข้าไปข้างเตียงเพื่อตรวจดูอาการของเยี่ยชางไห่
ตอนนี้เรียกได้ว่าอาการของเขาเลวร้ายอย่างมากและลมหายใจรวยรินเต็มที เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของเขาไม่สู้ดีนัก
ฉินอวี้โม่สัมผัสถึงพลังชีวิตในร่างกายของเขาได้อย่างเลือนรางเท่านั้น ราวกับว่าพลังชีวิตเหล่านั้นกำลังจะสูญสลายไปซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลกยิ่งนัก
“นายหญิง หากเป็นอาการเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เสียงของเสี่ยวโพธิ์ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ แม้ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังที่ลึกลับอย่างมาก ทว่าสถานการณ์ของเยี่ยชางไห่ก็เลวร้ายเกินกว่าที่มันจะรักษาได้
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ร่างกายของเยี่ยชางไห่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและถูกวางยาพิษซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ก็ยังไม่สามารถรักษาอาการเหล่านั้นให้หายได้ ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไป อาการบาดเจ็บและพิษเหล่านั้นจึงได้ทวีความรุนแรงขึ้นและได้กลืนกินพลังชีวิตของเขาไปโดยสมบูรณ์ แม้แต่เสี่ยวโพธิ์ก็ไม่สามารถรักษาให้เขาหายสนิทได้อีก
“อย่างไรก็ตาม หากมีโอสถนิพพาน เขาอาจจะฟื้นคืนกลับมาได้”
เสี่ยวโพธิ์กล่าวถึงโอสถนิพพานที่เป็นโอสถที่มหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้า การกลืนกินโอสถนิพพานจะสามารถช่วยฟื้นคืนพลังชีวิตของคนที่ใกล้ตายหรือตายไปไม่เกินสามวัน แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่เคยเห็นคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้ด้วยตาตัวเองมาก่อน หากแต่เคยอ่านข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในตำราเท่านั้นซึ่งคงจะมิใช่ข้อมูลเท็จ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ ทว่าตอนนี้วัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพานยังห่างไกลไปจากคำว่ามากพอและใกล้ตัวนางก็ไม่มีผู้หลอมโอสถฝีมือดีอยู่ ต่อให้เก็บรวบรวมวัตถุดิบมาได้จนครบก็ยังไม่มีใครที่จะหลอมโอสถนิพพานขึ้นมาได้ หากพี่ใหญ่ของนางอยู่ที่นี่ บางทีเขาก็อาจจะหลอมโอสถนิพพานขึ้นมาได้สำเร็จ
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉินอวี้โม่ก็สื่อสารกับเสี่ยวโพธิ์อีกครั้ง “มีวิธีที่จะช่วยขยายเวลาของเขาหรือไม่?”
หากสามารถยื้อเวลาได้ประมาณหนึ่งปีครึ่งเพื่อสะสางความวุ่นวายของที่นี่เสียก่อนและเก็บรวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็นก่อนเดินทางกลับดินแดนมหาเทพเพื่อพบกับพี่ใหญ่ของนาง นางอาจจะช่วยเยี่ยชางไห่ได้สำเร็จ
“หากไม่เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้น การเอาหัวใจต้นโพธิ์ให้กับเขาคงจะช่วยขยายเวลาได้อีกสามปี”
เสี่ยวโพธิ์คาดการณ์ไว้ว่าคุณสมบัติของหัวใจต้นโพธิ์จะสามารถช่วยประคองอาการของเยี่ยชางไห่ได้อีกสามปีเป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามันไม่สามารถทำให้เขาฟื้นสติขึ้นมาได้ เพียงแต่ช่วยรักษาร่องรอยของพลังชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อมิให้เขาตายไปก็เท่านั้น
“เท่านั้นก็เพียงพอ !”
เดิมทีฉินอวี้โม่คาดการณ์ระยะเวลาไว้เพียงหนึ่งปีครั้งเท่านั้น ทว่าการที่ได้ยินว่าจะมีเวลามากถึงสามปี มันก็ทำให้นางรู้สึกโล่งใจได้มาก
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและชี้แจงเรื่องนี้กับเยี่ยหมิงและทุกคนทันทีซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน
“เราจะส่งคนไปเก็บรวบรวมวัตถุดิบสำหรับโอสถนิพพาน หากเจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็บอกเรามาได้เลย พวกเรายินดี”
แม้ตอนนี้จะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ภายในตระกูลเยี่ยได้ พวกเขาก็สามารถเข้าไปที่คลังสมบัติของตระกูลเพื่อรวบรวมสิ่งที่ต้องการมาได้ไม่ยาก ระยะเวลาสามปีจะช่วยพลิกผันสถานการณ์ให้กับพวกเขาได้อย่างแน่นอนและพวกเขาจะต้องรวบรวมวัตถุดิบให้ครบถ้วนโดยเร็วที่สุด
“ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่เข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรรึเจ้าคะ ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไปโดยตรง
“เรื่องมันยาว เจ้าคงจะยังไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเฟิงเอ๋อร์ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังก่อนแล้วกัน”
เยี่ยหลิงซีจับมือฉินอวี้โม่และนั่งลงอีกครั้งก่อนเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางฟังโดยละเอียด
‘เยี่ยเฟิง’ หรือที่ฉินอวี้โม่รู้จักในนาม ‘ศิษย์พี่ฉินเฟิง’ แท้จริงแล้วเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของบุตรคนเล็กที่เยี่ยชางไห่รักใคร่เอ็นดูมากที่สุดและเป็นบุรุษเพียงคนเดียวในหมู่ทายาทรุ่นใหม่ของตระกูลเยี่ย...
.
.