ภายในห้อง เยี่ยหลิงซีอธิบายเรื่องราวของตระกูลเยี่ยให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบอย่างคร่าว ๆ
‘เยี่ยหลาน’ บิดาของเยี่ยเฟิงเป็นอัจฉริยะของตระกูลเยี่ยในอดีตซึ่งมีทั้งพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่โดดเด่น นับตั้งแต่ปรากฏตัว เขาก็ได้กลายเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นน่าจับตามองมากที่สุดในตระกูลเยี่ยและกลายเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะที่เก่งกาจที่สุดของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ส่วนมารดาของเยี่ยเฟิงก็เป็นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน
หลังจากทั้งสองเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและครองรักกัน ทั้งสองก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายนามว่าเยี่ยเฟิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเยี่ยเฟิงมีอายุได้ประมาณสามปีก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในตระกูลของมารดาของเขา ซึ่งในตอนนั้นเยี่ยหลานและเยี่ยเฟิงก็อาศัยอยู่ที่จวนของตระกูลมารดา
ท้ายที่สุดแล้วเหตุการณ์วุ่นวายครานั้นก็ทำลายตระกูลของมารดาเยี่ยเฟิงไป แม้แต่มารดาของเขาและเยี่ยหลานก็ตายไปเช่นกัน หลังจากนั้น เยี่ยเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในวัยเพียงสามปีก็ได้หายสาบสูญไปจากตระกูลโดยที่ไม่มีผู้ใดได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเขาอีกเลย ทว่าตระกูลเยี่ยก็พยายามตามหาเขามาตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมา
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเยี่ยเฟิงถูกพาตัวไปที่ดินแดนระดับต่ำ เพราะเหตุนั้น การตามหาของพวกเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานก็ตาม
จนกระทั่งเมื่อเยี่ยเฟิงเดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพก่อนหน้านี้ ตระกูลเยี่ยจึงรับรู้ได้ถึงการปรากฏตัวของเยี่ยเฟิงเป็นครั้งแรกและพาตัวเขากลับมาได้ในที่สุด
ในตอนนั้น อาการของเยี่ยชางไห่ก็เริ่มไม่สู้ดีนัก เพื่อมิให้เป็นการกระตุ้นความสงสัยใด พวกเขาจึงไม่รีบร้อนเปิดเผยตัวตนของเยี่ยเฟิง บรรดาคนตระกูลเยี่ยจึงไม่ทราบว่าเหตุใดเยี่ยชางไห่จึงพาตัวบุรุษผู้นั้นกลับมาที่นี่ พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่แสดงความเคารพต่อเขามากนัก
หลังจากพาเยี่ยเฟิงกลับมาที่จวนตระกูล เยี่ยชางไห่ก็ตระหนักว่าอาการของเขาเริ่มที่จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงตัดสินใจส่งเยี่ยเฟิงเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย
ภายในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยมีมรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ซึ่งมีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลเยี่ยเท่านั้นที่จะสืบทอดมันได้ และที่สำคัญคือทายาทผู้นั้นจะต้องเป็นบุรุษเพศเท่านั้น
“ท่านพ่อคงจะคาดเดาได้ว่าตระกูลเยี่ยของเรากำลังจะเผชิญกับหายนะเช่นนี้และกุญแจสำคัญในการช่วยให้ตระกูลรอดจากหายนะก็อยู่ในมือของเฟิงเอ๋อร์ น่าเสียดายที่เฟิงเอ๋อร์เข้าไปอยู่ในดินแดนต้องห้ามเป็นเวลานานหลายปีแล้วและยังไม่มีความคืบหน้าใด เราไม่มีทางทราบได้เลยว่าเขาได้รับมรดกจากบรรพบุรุษมาหรือยัง”
เยี่ยหมิงกล่าวอย่างจนปัญญา พรสวรรค์ของเขาอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไปเท่านั้นและไม่สามารถสืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษได้ มิเช่นนั้น เยี่ยชางไห่ก็คงไม่ตัดสินใจส่งเยี่ยเฟิงเข้าไปที่นั่น
ในบรรดาทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยทั้งหมด นอกจากเขาก็มีเพียงเยี่ยเฟิงเท่านั้นที่เป็นบุรุษ แม้เยี่ยอวิ้นเอ๋อร์จะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมนัก นางก็เป็นสตรีและต่อให้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับสืบทอดมรดกเหล่านั้นมา
เมื่อได้ทราบถึงความเป็นมาเป็นไปและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจถึงสถานการณ์ของตระกูลเยี่ยได้อย่างง่ายดาย
หากพิจารณาจากเรื่องนี้ ศิษย์พี่ของนางก็คงจะไม่เป็นอันตรายใดในช่วงนี้และนางยังไม่ต้องกังวลจนเกินไป
แต่ทว่า…ในเมื่อศิษย์พี่ของข้าเข้าไปในดินแดนต้องห้าม แล้วพี่สะใภ้ไปอยู่ที่ใดล่ะ ?
“ก่อนหน้านี้ข้าได้พบบุรุษนามว่าเยี่ยซาและเขากล่าวว่าได้รับคำสั่งให้พาตัวพี่สะใภ้ของข้ามาที่ตระกูลเยี่ย ไม่ทราบว่าทุกท่านทราบเรื่องนี้รึไม่เจ้าคะ ?”
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถามขณะมองเยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ ด้วยความกังวลที่ก่อตัวในหัวใจ
“เยี่ยซาหายตัวไปมิใช่หรือ ?”
เยี่ยหมิงชะงักไปทันที พวกเขาเป็นผู้ที่มอบหมายภารกิจให้เยี่ยซาเดินทางออกไปยังดินแดนมหาเทพเพื่อหาตัวฉินเหยียนกลับมาที่นี่จริง ทว่าตามข่าวที่ได้รับมาหลังจากนั้นคือเยี่ยซาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นับประสาอะไรกับการพาตัวฉินเหยียนมาที่นี่
“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าพี่สะใภ้ของข้ายังมาไม่ถึงที่นี่เลยด้วยซ้ำ…”
สีหน้าของฉินอวี้โม่กลายเป็นตึงเครียดทันที ช่วงที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เยี่ยซาหายตัวไปและฉินเหยียนก็หายตัวไปเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี้โม่สังหรณ์ใจทันทีว่าอาจจะมีแผนการสมคบคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลัง…
“ไม่นะ !”
สีหน้าของเยี่ยหมิงและทุกคนเหยเกไปทันที พวกเขาเคยสันนิษฐานว่าอาจเกิดอุบัติเหตุบางอย่างกับเยี่ยซา ทว่าพวกเขาก็คิดไปว่าเยี่ยซาหายตัวไปก่อนที่จะพบตัวฉินเหยียน เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ พวกเขาก็สังหรณ์ใจแล้วว่ามิใช่อุบัติเหตุเช่นที่คิดไว้แน่
เพียงแต่ตอนนี้ทั้งตระกูลเยี่ยกำลังเผชิญกับวิกฤตและพวกเขาไม่มีเวลาสืบข่าวเรื่องนั้น ในเมื่อไม่สามารถติดต่อเยี่ยซาและคณะผู้ติดตามของเขา ทุกคนจึงทำได้เพียงพักเรื่องนั้นไว้ก่อน
คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยซาจะพบตัวฉินเหยียนแล้ว เพียงแต่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางและทำให้พวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยกัน…
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? คนตระกูลเยี่ยจับตัวพวกเขาไป หรือเป็นคนอื่น…”
เยี่ยหมิงและทุกคนใช้ความคิดกันอย่างหนักทันทีเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ตระกูลเยี่ยของพวกท่านยังมีศัตรูอื่นอีกรึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามทันทีเนื่องจากรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้คงจะมิใช่ฝีมือของคนในตระกูลเยี่ย
ถึงอย่างไรหากตัวการของเรื่องนี้เป็นคนในตระกูลจริง พวกเขาก็ไม่มีทางปิดบังมาได้นานถึงเพียงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็สังหรณ์ใจอย่างเลือนรางว่าผู้ที่จับตัวคณะของเยี่ยซาและฉินเหยียนน่าจะเกี่ยวข้องกับขุมกำลังที่ทำให้เกิดเรื่องกับมารดาของเยี่ยเฟิงอย่างแน่นอน…
เมื่อได้ยินคำถามของนาง เยี่ยหมิงและคนอื่น ๆ ก็คาดเดาบางอย่างขึ้นมาได้ ทุกคนหันมองหน้ากันโดยที่มีความคิดเช่นเดียวกัน ทว่าไม่มีใครเอ่ยชื่อของขุมกำลังนั้นมา
“ข้าจะหาทางสืบเรื่องนี้และรายงานความคืบหน้ากับทุกคนในอีกไม่กี่วัน”
เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนตัดสินใจ
พวกเขาต่างก็ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเหยียนและฉินเฟิงเป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้น พวกเขาจะปล่อยให้เกิดเรื่องกับฉินเหยียนไม่ได้เด็ดขาด !
ฉินอวี้โม่ก็เพียงพยักศีรษะ นางไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มากนักและไม่มีหนทางสืบข่าวที่ต้องการได้ มีเพียงเยี่ยหลิงซีเท่านั้นที่จะสามารถสืบเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าและเยี่ยซีไปพบเจอกันได้อย่างไรรึ ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ฉินอวี้โม่และสหายติดตามเยี่ยซีกลับมาที่จวนตระกูลเยี่ย เยี่ยหลิงซีก็อดเอ่ยถามไม่ได้
สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับทายาทสายตรงของตระกูล ผู้ที่มีความสุขมากที่สุดก็ควรจะเป็นในฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยี่ย ความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ก็คงจะชัดเจนสำหรับผู้อาวุโสใหญ่เช่นกัน หากทราบว่าผู้ที่ติดตามเยี่ยซีกลับมาคือฉินอวี้โม่ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้นางเข้ามาอยู่ใกล้ตัวได้…
ฉินอวี้โม่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เยี่ยหลิงซีและทุกคนได้ทราบโดยไม่ปิดบังสิ่งใด
“ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ได้เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกไปแล้วรึ ?”
เยี่ยหมิงขมวดคิ้วมุ่นทันที หากเยี่ยไป๋เหมยได้เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกไปครองแล้ว พลังอำนาจและอิทธิพลของผู้อาวุโสใหญ่จะไม่เพิ่มมากขึ้นอย่างนั้นหรือ…
“มันเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ปลอมเจ้าค่ะ ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาได้ครอบครองเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกที่แท้จริงแน่”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นคนที่ไว้วางใจได้และนางไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใดจากพวกเขา
ตอนนี้นางเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลเยี่ยมากขึ้นแล้ว หลังจากเกิดเรื่องกับเยี่ยชางไห่ ฝั่งที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลก็คือฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่และเขาก็ต้องการยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ยไว้เอง
การที่ผู้อาวุโสใหญ่ได้เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกไปครองแล้ว เชื่อว่าพวกเขาจะตัดสินใจลงมือในอีกไม่กี่วันอย่างแน่นอนและพวกเขาเพียงรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
“บุคคลภายนอกสามารถเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยได้รึไม่เจ้าคะ?”
ฉินอวี้โม่ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามออกไป อันที่จริง นางต้องการเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยเพื่อตรวจดูสถานการณ์ของศิษย์พี่ด้วยตัวเอง
จากคำบอกเล่าของเยี่ยหลิงซีและคนเหล่านี้ ฉินเฟิงอยู่ในดินแดนต้องห้ามมานานพอสมควรแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้นในดินแดนต้องห้ามซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังไม่ได้รับมรดกจากบรรพบุรุษ หากนางเข้าไปในดินแดนต้องห้าม ฉินอวี้โม่เชื่อว่าตนจะหาทางช่วยศิษย์พี่ได้แน่
“เจ้าต้องการจะเข้าไปรึ ?”
เยี่ยหลิงซีเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่และเอ่ยถามเพื่อยืนยัน
“ข้าคิดว่าเราควรแบ่งกองกำลังออกเป็นสองส่วน ข้าจะเข้าไปในดินแดนต้องห้ามเพื่อตรวจดูสถานการณ์ของศิษย์พี่ ส่วนพวกท่านรออยู่ข้างนอกเพื่อยื้อเวลาให้ได้นานที่สุด เชื่อว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวจากผู้อาวุโสใหญ่เป็นพักใหญ่ หากศิษย์พี่สืบทอดมรดกได้สำเร็จ เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะมั่นใจได้มากขึ้น”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวถึงแผนการของตน
“เอาล่ะ ไม่มีปัญหา เจ้าคิดจะเข้าไปเมื่อใด ?”
เยี่ยหลิงซีพยักศีรษะและไม่คัดค้านสิ่งใด