ทันทีที่ฟ้าสาง ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวกลับไปยังเรือนที่พักชั่วคราวของพวกตน
ภายในเขตที่พักของพวกนางยังคงเงียบสงัดเช่นเคย และด้วยการที่มีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้พิทักษ์ทั้งสองจะค้นพบว่าพวกนางหายตัวไปทั้งคืนซึ่งจะไม่กระตุ้นความสงสัยของใครแม้แต่น้อย
“พวกเจ้ากลับมาแล้ว”
เมื่อฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนออกไปก่อนหน้านี้ เซิ่งเซียวและฟู่อวิ๋นซิวก็รับหน้าที่เฝ้ายามภายในเรือน เมื่อเห็นว่าทั้งสองกลับมา เซิ่งเซียวก็รีบกล่าวทักทายทั้งสองทันที
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ทราบมาจากเยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขารับรู้ถึงข่าวสารล่าสุดและเตรียมความพร้อมในการรับมือ
“คาดว่าอีกไม่นานเยี่ยไป๋เหมยจะทราบความจริงว่าเมล็ดพันธุ์เป็นของปลอม เมื่อถึงตอนนั้นมันจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ เราจะรอจัดการกับเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อนและข้าจะเข้าไปในดินแดนต้องห้ามในภายหลัง นอกจากนี้ ข้าก็อยากจะเฝ้ารออีกสักพักเผื่อว่าจะได้รับข่าวใด ๆ เกี่ยวกับพี่สะใภ้มา”
ฉินอวี้โม่วางแผนที่จะรออีกครึ่งเดือนก่อนเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย และภายในเวลาครึ่งเดือนนี้ มันก็เป็นเวลามากพอที่นางจะเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งต่าง ๆ ได้
เซิ่งเซียวและทุกคนไม่คัดค้านและสนับสนุนการตัดสินใจของฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่ของวันนี้ เยี่ยซีมาที่เรือนของทั้งสี่ก่อนที่พวกนางจะตื่นนอนเสียอีก
“พวกเจ้าทั้งสี่คนมากับข้าเดี๋ยวนี้ ท่านอาจารย์ต้องการเรียกพวกเจ้าไปพบ !”
สีหน้าของเยี่ยซีเหยเกเล็กน้อยและมองกลุ่มของฉินอวี้โม่ด้วยแววตาโกรธเคืองทว่าพยายามควบคุมความรู้สึกนั้นไว้
หลังจากกล่าวเพียงสั้น ๆ เขาก็นำทางพวกนางตรงไปยังเรือนของผู้อาวุโสใหญ่
ในเวลานี้ ภายในลานที่พักของเยี่ยไป๋เหมย เขาก็กำลังถือกระถางเล็ก ๆ ไว้ในมือในขณะที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้ทางสีหน้าเลย
ภายในกระถางนั้นคือบุปผาสีม่วงที่แผ่กลิ่นหอมโชยออกมาซึ่งทำให้รู้สึกสดชื่นและชวนให้ผ่อนคลายยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงบุปผาธรรมดา ๆ ที่ไม่มีพลังพิเศษใด
“ท่านอาจารย์ พวกนางมาแล้วขอรับ”
เยี่ยซีกล่าวอย่างนอบน้อมขณะเดินเข้าไปกับฉินอวี้โม่และสหาย
“นั่งลงสิ”
ผู้อาวุโสใหญ่ยังคงคลี่ยิ้มบาง ๆ ซึ่งทำให้คาดเดาความคิดของเขาได้ยากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ สังหรณ์ใจว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้มีอารมณ์ที่ดีดังที่แสดงออกมาอย่างแน่นอน
การที่เขาเรียกพบพวกนางคงจะเป็นเพราะเขาค้นพบความผิดปกติเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์สีเขียวและต้องการถามความจริงจากพวกนาง
“ลองสำรวจดูบุปผานี่ก่อนสิ”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เขายื่นกระถางเล็ก ๆ ดังกล่าวให้กับฉินอวี้โม่และสหายขณะส่งสัญญาณให้พวกนางตรวจดู
“นี่คือบุปผาชนิดใดรึเจ้าคะ ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน ?”
เนื่องจากคาดเดาความหมายของผู้อาวุโสใหญ่ได้เป็นอย่างดี ฉินอวี้โม่และสหายจึงเอ่ยถามเป็นเสียงเดียวขณะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายของเขา
“นี่คือบุปผาที่งอกมาจากเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลก ข้าทราบจากเยี่ยซีว่ามีเพียงพวกเจ้าและคนตระกูลไป๋ที่อยู่ในพระราชวังตอนที่พบมัน เพราะเหตุนั้น ข้าจึงเรียกพวกเจ้ามาเพื่อถามว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรกันแน่”
น้ำเสียงของเยี่ยไป๋เหมยฟังดูราบเรียบเช่นเดิมและไม่แสดงถึงความไม่สบอารมณ์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันที่มองไม่เห็นกลับแผ่ครอบคลุมฉินอวี้โม่และสหายซึ่งทำให้พวกนางรับรู้ถึงความหมายของเขาได้อย่างชัดเจน
“นี่คือเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกหรือเจ้าคะ ?!”
แทนที่จะปฏิเสธหรือคัดค้าน ฉินอวี้โม่ก็แสร้งทำเป็นตกใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากเชื่อ
“ใช่ มันคือเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลก”
เยี่ยไป๋เหมยพยักศีรษะขณะจับจ้องฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างไม่ละสายตาเพื่อคอยสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของพวกนาง
เมื่อเห็นว่าพวกนางมีสีหน้าที่แปลกใจ เขาก็ถอนแรงกดดันของตนอย่างรวดเร็ว เดิมทีเขาคิดว่าคนเหล่านี้คงจะรวมหัวกับตระกูลไป๋เพื่อหลอกลวงตน ทว่าตอนนี้เยี่ยไป๋เหมยไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป
“ไม่มีทาง เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกที่เราได้มาเป็นของปลอมอย่างนั้นรึ ?!”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แสดงละครตบตาได้อย่างแนบเนียนราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน
“ท่านอาจารย์ แม้ข้าจะออกจากพระราชวังนั่นมาก่อน ข้าก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในได้อย่างชัดเจน เมล็ดพันธุ์นั่นเป็นสิ่งที่ได้มาจากพระราชวังแห่งนั้นจริง ๆ มันจึงไม่ควรจะมีอะไรผิดพลาดไปได้ หากมีปัญหาอะไรละก็ เราก็ควรถามจากไป๋เสี่ยวหลง พวกนางคงจะไม่รู้เรื่องด้วย”
เยี่ยซีไม่ได้กล่าวเพื่อสนับสนุนหรือไม่เห็นด้วยกับฉินอวี้โม่และสหาย เขาเพียงกล่าวในสิ่งที่มองเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น
ในเมื่อเขาคอยจับตาดูสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่ควรจะเป็นของปลอมไปได้ สิ่งที่เขามองเห็นคือเมล็ดพันธุ์สีเขียวและสิ่งที่เขานำกลับมาก็เป็นเมล็ดพันธุ์จากมือของไป๋เสี่ยวหลง เพราะเหตุนั้นมันจึงไม่ควรจะมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล
เขาก็ไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น…เหตุใดเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกจึงกลายเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ของบุปผาธรรมดา ๆ เช่นนี้
“เหตุการณ์ข้างในพระราชวังเป็นอย่างไรกันแน่ ?”
หลังจากถอนแรงกดดันออกไป เยี่ยไป๋เหมยก็เอนหลังอย่างสบาย ๆ ขณะโบกมือเล็กน้อยก่อนถ้วยน้ำชาจำนวนหนึ่งจะปรากฏบนโต๊ะถัดจากกลุ่มของฉินอวี้โม่
“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นดังที่เยี่ยซีเห็นเจ้าค่ะ สิ่งที่เราพบในพระราชวังนั่นคือเมล็ดพันธุ์สีเขียว ตอนนั้นข้าเพียงเอื้อมมือออกไปและจู่ ๆ ผนึกป้องกันรอบเมล็ดพันธุ์ก็สลายหายไป ข้าไม่ทราบเลยเจ้าค่ะว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉินอวี้โม่กางมือและกล่าวด้วยสีหน้าที่ฉงนสงสัย
“ในเวลานั้น ไป๋เสี่ยวหลงก็แสดงเจตนาว่าต้องการเมล็ดพันธุ์นี้ ด้วยการที่เราเป็นหนี้บุญคุณเขาอยู่ เราจึงมอบให้เขาไปเจ้าค่ะ”
นางกล่าวต่ออย่างแนบเนียน มีเพียงพวกนาง ไป๋เสี่ยวหลงและคนอื่น ๆ อีกเพียงไม่มากเท่านั้นที่ทราบความจริงในพระราชวังนั้น คนของตระกูลไป๋ก็ไม่มีทางเปิดเผยความจริงออกไปอย่างแน่นอน ส่วนเฟิงเป่ยโม่ พวกนางก็ไม่ทราบว่าเขาหายตัวไปที่ใด เพียงแต่ฉินอวี้โม่เชื่อว่าเขาจะไม่เปิดเผยความจริงออกไปเช่นกัน ต่อให้เยี่ยซีและเยี่ยไป๋เหมยมีข้อสงสัย พวกเขาก็ไม่มีทางพิสูจน์ได้
“เจ้าคิดว่ามีโอกาสที่ไป๋เสี่ยวหลงจะสลับสับเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์บ้างรึไม่ ?”
เยี่ยไป๋เหมยไม่สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แต่อย่างใด ทว่าหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยถามออกไปอีกครั้ง
“คิดว่าไม่เจ้าค่ะ หลังจากได้เมล็ดพันธุ์มา เราทั้งหมดก็ออกจากพระราชวังมาด้วยกันทันที มีเพียงชั่วขณะสั้น ๆ ที่เราข้ามออกมาเท่านั้นที่เขาจะพอมีโอกาส ทว่ามันก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินไป ข้าคิดว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ บางทีเมล็ดพันธุ์ที่แท้จริงของต้นไม้โลกอาจจะยังอยู่ในพระราชวังนั่นก็เป็นได้…”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไป
“ท่านอาจารย์ ข้าว่าเราส่งคนออกไปสำรวจที่นั่นจะดีกว่า รวมถึงส่งคนไปสืบความจริงที่จวนตระกูลไป๋ ข้าเชื่อว่าพวกนางไม่กล้าโกหกแน่”
เยี่ยซีมองฉินอวี้โม่และกล่าวออกไป
เช้าตรู่ของวันนี้ เยี่ยไป๋เหมยเรียกเขามาพบอย่างกะทันหัน แม้อีกฝ่ายจะดูนิ่งสงบไม่แสดงความรู้สึกใด เขาก็สัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของอาจารย์ได้เป็นอย่างดี
โชคดีที่นอกจากเขาก็ยังมีอีกหลายคนเห็นเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างชัดเจน เยี่ยไป๋เหมยจึงไม่สามารถลงโทษเขาได้ไม่ว่าจะโมโหเพียงใดก็ตาม
สำหรับฉินอวี้โม่และสหาย ในเมื่อพวกนางเลือกจำนนต่อเขาและกลืนกินโอสถพิษนั้นเข้าไปแล้ว เยี่ยซีเชื่อว่าพวกนางจะไม่กล้าโกหกอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ จัดการตามนั้นได้เลย”
เยี่ยไป๋เหมยพยักศีรษะและปล่อยให้เยี่ยซีจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
“พวกเจ้ากลับไปได้”
แน่นอนว่าเขายังไม่ไว้วางใจฉินอวี้โม่และสหายเท่าใดนัก เขายังต้องสืบข้อมูลของพวกนางให้แน่ชัดต่อไปเนื่องจากยังไม่สามารถเชื่อใจได้โดยสมบูรณ์ เขาตั้งใจจะให้พวกนางพักอยู่ที่เรือนต่อไปก่อนและส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกนางอย่างใกล้ชิดก่อนจะมั่นใจในความจงรักภักดีของพวกนางได้
ฉินอวี้โม่และทุกคนเพียงพยักศีรษะโดยไม่กล่าวสิ่งใด จากนั้นพวกนางก็กลับไปที่เรือนของพวกตนตามเดิม
เยี่ยซีก็ส่งคนจำนวนหนึ่งไปยังบริเวณนอกเมืองฝู่ฮว๋าอีกครั้งและตัวเขาก็นำคนนับสิบมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลไป๋…
ภายในเรือนที่พักของฉินอวี้โม่ ก่อนที่พวกนางจะมีโอกาสได้นั่งลง เสียงของเยี่ยหลิงซีก็ดังขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสาร
“อวี้โม่ ข้าได้ข่าวเรื่องพี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว”