ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 907 เสวี่ยชูฉิงผู้ทำตรงกันข้ามกับหลักการทั่วไป

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

คู่ต่อสู้ของอิ่นเทียนเซี่ยนด้านในภาพ กลับเป็นคนสองคน

คนผู้หนึ่งมีแสงสาดส่อง เหมือนกับดวงอาทิตย์ตกลงมาจากฟากฟ้า ในจิตวรยุทธ์กลับแฝงพลังแห่งดวงอาทิตย์ และพลังแสงสุดขีด

อีกคนหนึ่งเหมือนกับราตรีนิรันดร์มาถึง ความมืดแผ่คลุมฟ้าและตะวัน ในจิตวรยุทธ์คือความเงียบงันในความมืดที่แท้จริง

คนสองคนนี้ไม่ใช่สหายร่วมสำนัก แต่มาจากสายสืบทอดที่ไม่เหมือนกันสองสาย

เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ว่า คนแรกเป็นผู้สืบทอดของตำหนักอาทิตย์ไร้จำกัด ขุมกำลังหนึ่งที่อยู่มาก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

ในโลกเต๋าหลักสายสามพิสุทธิ์ทางโลกซ้อนโลก การสืบทอดของขุมกำลังนี้ไร้ร่องรอย ไม่ทราบว่ามีอยู่ในโลกเบื้องล่างสักใบหรือไม่

สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงก็คือ ตามที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบ ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสร้างคัมภีร์เทพพระอาทิตย์ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นผู้นั้น มาจากตำหนักอาทิตย์ไร้ประมาณนี้เอง

เขาได้ผสานสิ่งที่ตนได้ร่ำเรียนมาเข้ากับรากฐานของคัมภีร์อาทิตย์ไร้ประมาณ ซึ่งเป็นวรยุทธ์ของตำหนักอาทิตย์ไร้ประมาณ เพื่อคิดค้นเคล็ดวิชาในคัมภีร์เทพพระอาทิตย์

เทียบกับคัมภีร์เทพพระอาทิตย์ที่ชำรุด ซึ่งถูกเก็บอยู่ด้านในหอหนังสือวังเทพแล้ว คัมภีร์อาทิตย์ไร้ประมาณนี้กลับได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์

ส่วนวรยุทธ์มรรคากระบี่ที่อีกคนแสดงออกมา ได้แฝงความลับของความมืด ซึ่งเยี่ยนจ้าวเกอพอจะคุ้นตาอยู่บ้าง

‘เหมือนกับกระบี่ความมืดไร้ฟ้า’ เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำในใจ

กระบี่ความมืดไร้ฟ้าเป็นวรยุทธ์ที่แพร่หลายตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ มาจากขุมกำลังใหญ่ที่มีชื่อว่าสำนักกระบี่ฟ้ามืด

ทว่าหอหนังสือวังเทพไม่ได้เก็บกระบี่ความมืดไร้ฟ้าไว้ มีแต่การสรุปย่ออย่างคร่าวๆ อยู่ในเอกสารคัมภีร์เท่านั้น

กลับเป็นพลังอีกชนิดหนึ่งที่แฝงอยู่ในวิชากระบี่ของคนนั้น เยี่ยนจ้าวเกอกลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี

สายฟ้าอนธการ หนึ่งในสายฟ้าเซียนทั้งเก้า!

อัสนีบาตกระจัดกระจาย ฟ้าดินมีแต่ความมืดอนธการไม่เห็นแสงสว่าง

จนกระทั่งเสียงฟ้าคำราม ใต้หล้าถึงจะกลายเป็นขาวโพลน บดขยี้มิติ

และไม่ว่าจะฝึกฝนคัมภีร์อาทิตย์ไร้ประมาณ หรือฝึกฝนคัมภีร์ความมืดไร้ฟ้า รากฐานของยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่สองท่านนี้ ล้วนมาจากแสงศรัทธานั้น

สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจก็คือ ในความทรงจำของเขา ไม่ว่าจะเป็นตำหนักอาทิตย์ไร้ประมาณ หรือผู้สืบทอดที่ฝึกฝนคัมภีร์ความมืดไร้ฟ้า ต่างไม่เคยปรากฏยอดฝีมือที่ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิมาก่อน

คนสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับไม่ได้ก้าวข้ามบรรพบุรุษเหมือนอย่างจักรพรรดิประกายกาฬ

จิตพลังของคัมภีร์อาทิตย์ไร้ประมาณและกระบี่ความมืดไร้ฟ้าที่พวกเขาแสดงออกมา แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย นำสิ่งเก่าออกสร้างสิ่งใหม่ขึ้น ตัดวัชพืชรักษาดอกไว้

แต่ว่าหากว่ากันตามคุณสมบัติแล้ว กลับไม่ได้ก้าวข้ามการสืบทอดก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

ส่วนกระบี่ความมืดไร้ฟ้านั้น เยี่ยนจ้าวเกอไม่กล้ายืนยัน

แต่เยี่ยนจ้าวเกอยืนยันได้ว่า คัมภีร์อาทิตย์ไร้ประมาณไม่ได้น่าอัศจรรย์ไปกว่าการสืบทอดของตำหนักอาทิตย์ไร้ประมาณก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

ทว่าคนสองคนที่อยู่ด้านหน้านี้ กลับเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ผลักเปิดประตูเซียน ข้ามการขวางกั้นของมนุษย์เซียนอย่างแท้จริง

เป็นยอดฝีมือที่เรียกว่าจักรพรรดิได้!

ต่อให้เป็นยอดฝีมือในเต๋าสายโถงเซียน แต่ว่าจักรพรรดิก็ยังคงเป็นจักรพรรดิ การเคลื่อนไหวของเขาสามารถทำลายฟ้าดินให้พินาศได้

สองคนในตอนนี้กลุ้มรุมอิ่นเทียนเซี่ย ลงมือพร้อมกัน แสงสว่างและความมืดตัดสลับ ฟ้าดินบิดเบี้ยวโดยสิ้นเชิง

เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพเงาแสง หรี่ตาลงเล็กน้อย ‘เป็นเพราะแสงศรัทธานั่นเหมือนกันหรือ’

อิ่นเทียนเซี่ยยามเผชิญหน้ากับคนสองคนนี้ สีหน้ากลับซับซ้อนเล็กน้อย

คล้ายกับเสียดาย คล้ายกับรังเกียจ คล้ายกับคับแค้น คล้ายกับจนปัญญา สุดท้ายก็ถอนใจคำหนึ่ง

“พวกท่านแม้จะผลักเปิดประตูเซียน แต่คนที่ผลักประตูเซียนไม่ใช่พวกท่าน”

“พวกท่านอยู่เหนือคนจำนวนนับไม่ถ้วน แต่พวกท่านไม่ทราบว่าการสืบทอดของบรรพบุรุษมีหลักการอย่างไร”

เขายกมือขึ้น ผลักมือออกด้านหน้า แสงสว่างและความมืดผสมผสานกันใจกลางฝ่ามือ

ฝ่ามือของเขาเหมือนครึ่งหนึ่งอยู่ในแสงสว่าง ครึ่งหนึ่งอยู่ในความมืด ทว่ากลับคล้ายถูกประกายแสงที่ไม่เจิดจ้าไม่สว่างไสว ไม่ใช่แสงไม่ใช่ความมืดครอบคลุมไว้

ฝ่ามือกระจายไปทั่วบริเวณ แสงสว่างมลาย ความมืดสูญหาย

ทุกสิ่งกลายเป็นภาพขมุกขมัว ยากจะแยกความมืดและแสงสว่าง คล้ายกับความโกลาหล

อิ่นเทียนเซี่ยเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ สำนักกระบี่ฟ้ามืดและตำหนักอาทิตย์ไร้ประมาณมักจะต่อสู้กับสำนักประกายกาฬของข้า แต่ละฝ่ายยากแบ่งสูงต่ำ”

“แต่มาถึงวันนี้ ผลแพ้ชนะเพียงมองก็ทราบแล้ว”

อิ่นเทียนเซี่ยคล้ายกับเทพลงมาจุติ สะท้อนแสงจนคู่ต่อสู้สองคนริบหรี่ไร้แสงใด “ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนวิชา ทำลายมรรคาเสียจะได้เห็นตัวจริงของตัวเอง”

เขาใช้แค่ฝ่ามือเดียว คู่ต่อสู้สองคนตรงหน้าล้วนแตกพ่าย

ภาพเงาแสงหยุดลงเพียงเท่านี้

เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงมองภาพที่หายไปพร้อมกับขมวดคิ้วครุ่นคิด

คนในสำนักฟ้าโกลาหลพากันร่ำร้องด่าทอ

หยางชงสีหน้าซับซ้อน ส่ายหน้าถอนใจ

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกตัว เขามองฟู่ถิง ก่อนจะได้ยินนางเอ่ยว่า “เป็นเพียงแค่ร่องรอยคร่าวๆ ที่เหลือไว้ในตอนที่ผ่านทางมาที่นี่ ขณะที่ยังสู้กันจริงๆ ด้วย”

“ซากโบราณสถานที่ท่านได้สัมผัสกลิ่นอายที่เหลืออยู่ ตอนนี้ใช่ถูกทำลายไปแล้วหรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอถามหยางชง

หยางชงหัวเราะเสียงฝืด “คาดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น”

เฉวียนฮ่าวหลงลดเสียงกล่าวว่า “หลังจากเกิดเรื่องของอาจารย์อาหยางท่าน ต่อมามีผู้อาวุโสในสำนักท่านอื่นรุดไปถึง และทำลายที่นั่นจนหมดแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง พลันถามขึ้นว่า “พวกท่านรู้หรือไม่ว่านอกจากเขาแล้ว ยังมีคนเช่นคนนี้โผล่ขึ้นที่ไหนอีก”

ไม่ว่าจะเป็นหยางชงหรือพวกเฉวียนฮ่าวหลงล้วนงงงัน

จอมยุทธ์สำนักฟ้าโกลาหลเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “คนทรยศที่ถูกคนนอกรีตอย่างพวกเจ้าล่อลวงเช่นเขา มีคนเดียวก็เป็นเรื่องตลกในใต้หล้าแล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ใส่ใจ เพียงพยักหน้าเล็กน้อย “โลกสูงเลิศใบนี้มีแค่คนเดียวหรือ”

ฟู่ถิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ ส่งกระแสเสียงถามว่า “ท่านคล้ายมีความนัยอยู่นะ”

ชายหนุ่มมองรอบๆ ตอบว่า “จักรพรรดิประกายกาฬใช้หนึ่งสู้สอง เอาชนะยอดฝีมือที่สืบทอดเต๋าสายโถงเซียน และสามารถเรียกได้ว่าจักรพรรดิสองคน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของการสืบทอดสายสามพิสุทธิ์ของสำนักเรา”

“ยอดฝีมือเต๋าสายโถงเซียนที่เห็นเหตุการณ์นี้ในตอนแรก จะต้องได้รับการกระทืบกระเทือนแน่”

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอหยั่งลึกขึ้น “เพียงแต่คนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตัวเอง คงไม่ได้มีแค่หยางชงคนเดียว ในตอนนั้นสำนักฟ้าโกลาหลมีคนอื่นอยู่ด้วย ไฉนจึงมีแค่แสงในร่างของหยางชงที่สับสน เกิดการสั่นไหวต่อความศรัทธาที่เขามีต่อเทวกษัตริย์ไร้ประมาณเท่านั้น”

“เพราะว่าเขามีพลังฝึกปรือสูงที่สุด มีประสบการณ์มากที่สุด ดังนั้นจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงที่อยู่เหนือแนวคิดดั้งเดิมได้ง่ายหรือ เป็นเพราะความจริงเขาความรู้สึกปราดเปรียวมากหรือ”

“แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์และสติปัญญาสูงส่งจริงๆ ไม่ต้องอาศัยแรงศรัทธา ก็อาจจะมีผลสำเร็จเหมือนอย่างผู้ที่ฝึกยุทธตามปกติอย่างพวกเราไม่ต่ำต้อยเช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอว่า “แต่ข้าคิดว่านั่นไม่ใช่สาเหตุ”

ฟู่ถิงเอ่ยอย่างแช่มช้า “ท่านกำลังสงสัยว่า มีคนทิ้งกลไกบางอย่างเอาไว้ในโบราณสถาน หยางชงเป็นคนที่เหยียบถูกกลไก ดังนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างนั้นหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ไม่ใช่จอมยุทธ์ศาสนาพุทธ แต่น่าจะเป็นผู้สืบทอดสายสามพิสุทธิ์อย่างพวกเรามากกว่า”

“ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ น่าเสียดายที่โบราณสถานแห่งนั้นถูกทำลายไปแล้ว เราจึงยากจะยืนยัน” ฟู่ถิงเอ่ยขณะที่ครุ่นคิด

ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวต่อ ทว่าคำพูดเมื่อครู่ของเขา ความจริงยังมีประโยคหลังที่ยังไม่ได้พูดออกมา

เมื่อเชื่อมต่อกับเรื่องของเสวี่ยชูฉิง มารดาของตนแล้ว ยังมีความเกี่ยวข้องระหว่างนางกับสำนักประกายกาฬในตอนนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง

เรื่องนี้เหมือนจะเป็นฝีมือของนาง

เมื่อมาถึงพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเขา การตอบสนองต่อลางสังหรณ์ก็ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอีก แต่เป็นการตอบสนองต่อหลักการของฟ้าดินอย่างเลือนราง มีความลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง

จะเชื่อหมดไม่ได้ แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้เช่นกัน

ที่มารดาของตนถูกผู้คนตามจับ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับการตายของจักรพรรดิประกายกาฬ และโถงเซียนกระมัง

หลังจากขาดอีกแค่ก้าวเดียว พลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตาที่จุดตัดระหว่างเขตสุราลัยบูรพาและเขตสารทอิสานของโลกซ้อนโลก เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ยินข่าวของเสวี่ยชูฉิงอีก

หรือว่าเสวี่ยชูฉิงจะกระทำการตรงข้ามกับหลักการทั่วไป ถือคติที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ออกจากโลกของเต๋าสายสามพิสุทธิ์ แอบแทรกซึมมาถึงสถานที่ของโถงเซียน