โอสถราชันต้นหนึ่ง!

ปราดเดียวหลินสวินก็ตัดสินได้

อีกทั้งที่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีก็คือโอสถราชันต้นนี้มหัศจรรย์กว่าโอสถวิญญาณที่เขาเคยเห็นในโลกภายนอกอยู่บ้าง ยามก้านดอกไม้ไหวเอน มีแสงพิสุทธิ์สีชาดสายแล้วสายเล่าโชยมา เหมือนน้ำตกน้อยเป็นสายๆ พ่นออกมาจากเกสรดอกไม้

เงาร่างหลินสวินพริบไหวขยับเข้าไปใกล้

น้ำตกเทลงมาจากหน้าผาราวมังกรขาว บนหินผามีต้นสนโบราณต้นหนึ่ง มีสีแดงชาดเก่าแก่ ประหนึ่งฉิวหลงขดตัวอยู่ที่นั่น

โอสถราชันสีแดงสดราวจันทร์เพ็ญต้นนั้นหยั่งรากลงไปในรอยแยกของหินด้านหนึ่ง ดูดไอวิญญาณจากฟ้าดิน กลิ่นหอมสดชื่นกำจาย

หลินสวินร้องด้วยความชื่นชมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่นี่ไอวิญญาณเข้มข้นเกินไปแล้ว ดุจดั่งหมอกหนาแน่น หายใจเข้าไปหน่อยทั้งร่างก็สดชื่นเหมือนอาบน้ำพุกระจ่างใส จิตใจปลอดโปร่ง

เขาเข้าไปใกล้ เพียงแต่ร่างกายกลับพุ่งเข้าไปยังต้นสนโบราณสีชาดที่ไม่ไกลจากโอสถราชันต้นนั้นมากนัก

เปรี๊ยะ!

เสียงหักดังลั่นดังขึ้นมา ต้นสนสีชาดต้นนั้นกลับส่งเสียงโหยหวนเจ็บปวด จากนั้นก็กลายร่างเป็นชายชุดดำผู้หนึ่งอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มผิวดำคล้ำ หน้าผากประทับรอยสัญลักษณ์ ร่างกายสูงใหญ่บึกบึน เป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจาก ‘เผ่าไพรปฐพี’ คนหนึ่ง

“ไอวิญญาณบริเวณหน้าผาแห่งนี้ล้วนถูกโอสถวิญญาณต้นนี้ดูดซับ ไม่อาจหลอมรวมเข้าไปในต้นไม้ต้นอื่น สหายยุทธ์ วิชาบังตาของเจ้านี่แย่ไปแล้ว”

หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ

โครม!

ชายหนุ่มกลับไม่พูดแต่ลงมือทันที กระบี่วิญญาณลายสนสีเขียวเจิดจ้าเล่มหนึ่งพุ่งออกจากมือไปฟันหลินสวิน

เมื่อยกกระบี่ขึ้นเจตกระบี่น่าหวาดหวั่นราวทะเลคลั่งบดทำลายกดข่มลงมา น่าหวาดหวั่นถึงที่สุด

เพียงแต่หลินสวินไม่แม้แต่มอง ยื่นมือออกไปดีดนิ้ว เจตกระบี่ระเบิดแหลกดังปึง กระบี่วิญญาณลายสนโหยหวน กระดอนออกไปเหมือนงูตาย

ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นเหมือนถูกสายฟ้าฟาด กระอักเลือดทั้งทางปากและจมูก

เขากำลังจะหลบหนีก็ถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือกดไว้ กักอยู่ที่เดิมแล้วพูดว่า “ถ้าข้าอยากฆ่าเจ้า เจ้าก็คงสิ้นชีพแต่แรกแล้ว”

ชายหนุ่มสีหน้าเหยเกพูดว่า “เจ้าอยากรู้อะไร”

นี่สิคนฉลาด!

หลินสวินก็ไม่ปิดบังเอ่ยว่า “เห็นได้ชัดว่าเจ้ามาถึงก่อนแล้ว ทำไมถึงไม่เก็บสมุนไพรแล้วจากไป แต่ยังรออยู่ที่นี่เล่า”

“ถ้าข้าบอกแล้วเจ้าจะปล่อยข้าไปไหม” ชายหนุ่มถาม

หลินสวินพยักหน้า

“เจ้าดูนี่”

ชายหนุ่มชี้ไปยังส่วนรากของโอสถราชันที่อยู่ระหว่างซอกหินนั้น

ตรงนั้นมีแสงสีชาดเปล่งประกายสะดุดตาถึงที่สุด แต่เมื่อพินิจดูก็พบว่ามีหนอนโปร่งแสงเหมือนเม็ดทรายตัวแล้วตัวเล่าปีนอยู่บนรากของโอสถราชัน กำลังกลืนกินไอพิสุทธิ์ที่โอสถวิญญาณพ่นออกมา

ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง หนอนเหล่านี้มีประมาณสิบกว่าตัว เล็กละเอียดหาใดเทียบ ทั้งถูกลำแสงปกคลุม หากจิตใจของผู้ฝึกปราณถูกโอสถราชันดึงดูด ก็จะละเลยหนอนเหล่านี้ได้ง่ายดายยิ่ง!

“ก่อนที่ข้ามาก็มีคนพบโอสถราชันต้นนี้แล้ว แต่เมื่อลงมือจะเด็ดไปกลับดิ้นรนรุนแรงอย่างไร้เหตุผลขึ้นมา ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าหดหู่ แค่ชั่วไม่กี่อึดใจเท่านั้นร่างของเจ้าหมอนั่นก็ถูกกลืนกินจนสิ้น ขนาดเศษกระดูกยังไม่เหลือ”

ยามชายหนุ่มพูดจา สีหน้าก็เจือไปด้วยความหวาดหวั่นและหนักอึ้ง

นี่เป็นสาเหตุที่เขายังไม่ลงมือสักที

เพียงแต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เมื่อได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้วหลินสวินกลับมีสีหน้าปกติไม่เปลี่ยนแปลง

หลินสวินเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปได้แล้ว”

ชายหนุ่มยิ่งประหลาดใจ อึ้งงัน “เจ้า… ไม่กลัวว่าข้าจะมาแก้แค้นเจ้าทีหลังหรือ”

“ถ้าวันๆ ข้าเอาแต่ห่วงว่าจะถูกแก้แค้น จะยังฝึกปราณอะไรได้” หลินสวินเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง

ชายหนุ่มกุมมือคารวะ “ขอบคุณมาก!”

เขาหันกายจากไป

เดินมาได้ครึ่งทางเขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกชอบกล นิ่วหน้าครุ่นคิดครู่ใหญ่ถึงตบหน้าผากในทันใด หน้าพลันเปลี่ยนสี มิน่าถึงว่าหน้าคุ้นๆ ที่แท้ก็เทพมารหลิน!

เมื่อนึกออกเหงื่อกาฬก็ไหลท่วมกาย รีบร้อนหนีไป

เบื้องหน้าหินผา หลินสวินพินิจพิเคราะห์โอสถราชันต้นนี้ ไม่ได้เด็ดไปแต่เอ่ยว่า “ทุกท่าน พวกเจ้าไม่คิดจะจากไปหรือ”

โดยรอบเงียบเชียบไม่มีใครตอบกลับ เหมือนเขาพูดกับตัวเอง

โครม!

หลินสวินกดมือลงไปอากาศ เบื้องล่างน้ำพุห้วงอากาศพลันทรุดตัว หินผามหึมาทั้งก้อนระเบิดแหลก จากนั้นเงาร่างหลายร่างต่างหนีออกมา

“เทพมารหลิน โอสถวิญญาณต้นนี้ถูกพวกเราจองไว้ก่อนนะ!”

คนเหล่านี้คือสามบุรุษหนึ่งสตรี เห็นได้ชัดว่ามาจากขุมอำนาจเดียวกัน ชายหนุ่มชุดขาวหนึ่งในนั้นสีหน้าอึมครึม มองหลินสวินอย่างโกรธเคือง

“ไร้สาระ ทำไมเจ้าไม่พูดว่าแดนเผาเซียนแห่งนี้ก็ถูกพวกเจ้าจองไว้แล้วล่ะ” หลินสวินพูดอย่างเย็นชา

“เทพมารหลิน เมื่อเข้ามาในแดนเผาเซียนเจ้าก็จะหัวเดียวกระเทียมลีบ หญิงลึกลับที่อยู่เบื้องหลังเจ้าผู้นั้นก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ฟังข้าเตือนสักครั้ง อ่อนน้อมถ่อมตัวหน่อยจะดีกว่า หาไม่แล้วแดนมกุฎแห่งนี้ก็จะกลายเป็นที่ฝังกระดูกเจ้า”

ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดอย่างโอหัง

“ใช่แล้ว เจ้ายังนึกว่าที่นี่เป็นโลกภายนอกหรือ ที่สามารถช่วงชิงศุภโชคได้มีเพียงผู้สืบทอดจากสำนักโบราณต่างๆ อย่างพวกเราเท่านั้น!”

“จะบอกเจ้าให้ว่าศิษย์พี่เสิ่นหนานเทียนแห่งหอเทพคืนกำเนิดของพวกข้า อีกเดี๋ยวก็มาแล้ว!”

ผู้สืบทอดที่มาจากหอเทพคืนกำเนิดเหล่านี้หวาดกลัวหลินสวินมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่าทีกลับอวดดีดังเดิม วาจาเผยการข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง

โดยเฉพาะยามยกชื่อ ‘เสิ่นหนานเทียน’ พวกเขาต่างแสดงสีหน้าหยิ่งผยอง

“เสิ่นหนานเทียนหรือ ไม่เคยได้ยิน”

หลินสวินน้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ถ้ายังไม่จากไปอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี!”

“เจ้า…”

คนเหล่านี้สีหน้าแปรเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทันที ขุ่นเคืองจนทนไม่ได้

“ได้ยินว่าพลังต่อสู้ของเจ้าเทพมารหลินเกินธรรมดามานานแล้ว วันนี้ข้าอยากจะดูเสียหน่อยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งอย่างในข่าวลือหรือไม่!”

ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นก็สูดหายใจลึก ดวงตาเจือจิตสังหาร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้ โอสถราชันต้นนั้นมหัศจรรย์ถึงที่สุด ถือได้ว่าเป็นวาสนาน้อยๆ ชิ้นหนึ่ง

ตุ้บ!

เพียงแต่เขาเพิ่งลุกขึ้นมาก็ถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือซัดกระเด็นออกไปกลางอากาศ ล้มลงไปบนพื้นที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง กระอักเลือดไม่หยุด

ผู้อื่นงุนงง คิดไม่ถึงเลยว่าพวกพ้องจะอ่อนแอได้ปานนี้ เพียงโจมตีลวกๆ ก็ถูกซัดกระเด็นแล้ว ขนาดพลังตั้งรับยังไม่มี

“ไสหัวไป!”

ความอดทนของหลินสวินหมดลงแล้ว จึงยื่นคำขาด

“เจ้ารอก่อนเถอะ! ผู้ที่มีเรื่องกับพวกเราหอเทพคืนกำเนิดจบไม่สวยสักราย!”

ในที่สุดคนเหล่านี้ก็จากไปอย่างตกต่ำ ก่อนจากยังไม่ลืมทิ้งคำพูดร้ายกาจ

“สวะไม่เอาไหนฝูงหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคัดออก”

หลินสวินยิ้มหยันคร้านจะไปถือสา เขาทอดสายตามองโอสถราชันอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถอนใจอย่างอดไม่ได้ พึมพำว่า “ก็ไม่รู้ว่าข้าโชคดีหรือเจ้าตัวน้อยนั่นโชคดีเกินไป…”

จากนั้นเสี่ยวอิ๋นก็ปรากฏตัวกลางอากาศ สองมือกอดอก ใบหน้าน้อยที่หล่อเหลาหาใดเทียบเจือความเย็นชาเย่อหยิ่ง “นายท่าน พบกับเรื่องยุ่งยากที่สะสางไม่ได้อีกแล้วหรือ ข้าเคยพูดไว้นานแล้วว่าจะไม่แลกหมัดกับพวกสวะชั้นต่ำเด็ดขาด”

หลินสวินมุมปากกระตุก เจ้าหนูนี่ยังหยิ่งทระนงเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ นะ!

เขายื่นนิ้วชี้ไปที่โอสถราชันต้นนั้น “ถ้าเจ้าไม่ชอบงั้นข้าจะเก็บไปแล้วนะ”

ตอนแรกเสี่ยวอิ๋นอึ้งไป จากนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย ส่งเสียงร้องยินดีในทันใด ไม่มีท่าทีแข็งกระด้างเย่อหยิ่งอีก กลับเหมือนเด็กคนหนึ่ง

เขาอ้าปากสูดเข้าไปทันที

ทันใดนั้นหนอนน้อยโปร่งแสงสิบกว่าตัวที่คลานอยู่บนรากโอสถราชันก็สั่นเทาไปทั้งตัว จากนั้นจึงถูกม้วนตลบขึ้นแล้วถูกเสี่ยวอิ๋นกลืนหมดในคำเดียว

เสี่ยวอิ๋นเผยรอยยิ้มเคลิบเคลิ้มมีความสุข

หลินสวินอดไม่ได้เอ่ยว่า “พวกนี้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเจ้า เจ้า… กินหมดอย่างนี้เลยหรือ”

ถูกต้อง หนอนน้อยที่คลานอยู่บนรากโอสถราชันเหล่านี้ล้วนเป็นหนอนกินเทพ!

ในโลกภายนอก นอกจากเสี่ยวอิ๋นก็แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับปรากฏในแดนมกุฎแห่งนี้

เมื่อหลินสวินเห็นเป็นครั้งแรกก็ออกจะตื่นตระหนกและประหลาดใจ ต้องยอมรับว่าแดนมกุฎแห่งนี้ช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้วจริงๆ

“ไม่ ข้าเป็นเผ่าราชัน พวกมันยังไม่มีสติปัญญา ทำได้เพียงตกเป็นอาหารช่วยส่งเสริมให้ข้าแปรสภาพและมีวิวัฒนาการ หากข้าไม่มีสติปัญญาก็ต้องตกเป็นอาหาร นี่เป็นธรรมชาติที่เผ่าหนอนกินเทพของข้ากำหนดไว้ขอรับ”

เสี่ยวอิ๋นส่ายหน้าแจกแจงรอบหนึ่ง

ตอนนี้หลินสวินถึงเข้าใจ

“นี่คือ…”

เมื่อเสี่ยวอิ๋นมองไปยังโอสถราชันต้นนั้น ครู่เดียวก็ตาเบิกกว้างเหมือนไม่อยากเชื่อ “ดอกสยบวิญญาณหรือ”

สวบ!

เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลงเสี่ยวอิ๋นก็พุ่งเข้าไป ไม่ได้กลืนกิน แต่กลับถอนรากของดอกไม้ดอกนี้ เก็บมาอย่างระมัดระวัง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความปรีดา

หลินสวินกระแอมครั้งหนึ่ง

เสี่ยวอิ๋นอึ้งไป พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันทีว่า “ขอบคุณนายท่านที่มอบศุภโชคใหญ่ชิ้นนี้แก่ข้า มีดอกสยบวิญญาณนี้แล้ว เพียงพอจะทำให้ข้ามั่นใจว่าจะมีโอกาสแปรสภาพเป็นราชันได้สำเร็จมากขึ้นอีกหน่อย! ภายหน้าหากท่านมีเรื่องใดให้ข้ารับใช้ แม้บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่หวั่นขอรับ!”

ตอนนี้หลินสวินถึงพอใจ รู้จักตอบแทนบุญคุณถึงจะถูกต้อง เย่อหยิ่งแข็งกระด้างไปก็ไม่ดี!

ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ดอกสยบวิญญาณดอกหนึ่งเพิ่มโอกาสได้หน่อยเดียวเองหรือ”

หนทางวิวัฒน์ของเสี่ยวอิ๋นไม่เหมือนกับผู้ฝึกปราณ ตอนนี้ยังถือเป็นเพียงหนอนตัวอ่อนที่มีคุณสมบัติแฝงของราชันตัวหนึ่งเท่านั้น

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็แข็งแกร่งถึงที่สุด!

หากเขาแปรสภาพเป็นราชันหนอนได้ จินตนาการได้เลยว่าต่อให้ไปสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ การจู่โจมของหนอนกินเทพย่อมยากป้องกัน!

เสี่ยวอิ๋นพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “หากนายท่านช่วยข้าเก็บรวมรวมดอกสยบวิญญาณได้มากยิ่งขึ้น เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่ข้าจะแปรสภาพเป็นราชันได้สำเร็จก็จะยิ่งมากขึ้นขอรับ”

หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้านึกว่าโอสถราชันเป็นผักกาดที่เก็บได้ตามใจหรือไง”

สายตาเสี่ยวอิ๋นกวาดไปรอบทิศแล้วกล่าวว่า “นายท่าน ที่นี่อยู่ในแดนมกุฎ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ ในความทรงจำของข้าก็มีรอยประทับที่เกี่ยวข้องกับแดนมกุฎ เสียดายที่ถูกผนึกไว้ มีเพียงเลื่อนขั้นเป็นระดับราชันถึงเปิดผนึกได้”

หลินสวินพลันหน้าเปลี่ยนสี เจ้าคางคกเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ หรือว่า… เสี่ยวอิ๋นก็ด้วย?

เรื่องนี้เป็นไปได้จริงๆ!

อย่างไรเสียตามคำพูดของเซ่าเฮ่าเผ่าราชันเร้นดาราผู้นั้นในตอนนั้น เผ่าหนอนกินเทพเดิมทีควรจะสูญสิ้นไปตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว

แต่เสี่ยวอิ๋นกลับมีชีวิตรอดมาได้ อีกทั้งความทรงจำของเขาก็ถูกผนึก แทบจะเหมือนกับเจ้าคางคก นี่จะต่างอะไรกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณ

ในที่สุดหลินสวินก็ตอบตกลงว่าจะช่วยเสี่ยวอิ๋นหาดอกสยบวิญญาณ เจ้าตัวจ้อยถึงได้กลับเข้าไปในห้วงนิมิต ท่าทีสนิทสนมกว่าแต่ก่อนไม่น้อย แน่นอนว่ายังแก้นิสัยแข็งกระด้างเย็นชาไม่ได้

“ต้องรีบไปเมืองโบราณเผาเซียนแล้ว…”

หลินสวินสูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ตัดสินใจว่าจะเลิกล้มแผนสำรวจศุภโชคชั่วคราว แล้วไปรวมตัวกับเจ้าคางคกและอาหลู่ที่เมืองโบราณเผาเซียน

แม้พูดว่าผู้มีระดับต่ำกว่าราชันสามารถเข้ามาในแดนมกุฎได้หมด แต่ในแดนมกุฎกลับสามารถกลายเป็นราชันได้

ตอนนี้แม้หลินสวินไม่กลัวว่าต้องแข่งขันกับคนรุ่นเดียวกันผู้ใด แต่ทันทีที่มีคนบรรลุระดับราชันได้ก่อน ต่อให้ไม่ใช่ระดับมกุฎราชัน ก็ย่อมนำพาภัยคุกคามใหญ่หลวงมาด้วย!

——