ตอนนี้ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่แดนมกุฎมีนับสิบล้านคน
แม้ต่างเป็นผู้ฝึกปราณที่มีระดับต่ำกว่าราชัน แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด เพราะจะมีบุคคลระดับราชันถือกำเนิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!
ทุกคนล้วนรู้ ว่ามีเพียงเหล่าผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่สามารถมุ่งหวังในขอบเขตมกุฎระดับราชัน
แต่ทำไมสำนักเก่าแก่เหล่านั้นถึงส่งผู้สืบทอดออกมามากมายปานนั้น
คาดเดาเหตุผลได้ง่ายนัก ในหมู่ผู้สืบทอดเหล่านี้บางทีอาจไม่มีทางเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชัน แต่คุณสมบัติกลายเป็นราชันก็ยังมีอยู่!
คาดการณ์ได้ว่าผ่านไปไม่เท่าไร เป็นไปได้สูงมากที่จะมี ‘ราชันคนใหม่’ รุ่นเยาว์มากมายถือกำเนิดขึ้น จากนั้นก็จะอาศัยระดับที่เหนือกว่าบดขยี้คู่ต่อสู้!
เวลากระชั้นนัก!
แม้ว่าแดนมกุฎจะปิดฉากในอีกสิบปี แต่ใครก็ไม่อาจชักช้าได้ เพราะทุกเวลาเต็มไปด้วยวิกฤต การแข่งขันก็ย่อมโหดร้ายหาใดเทียบ
ที่หลินสวินเข้าสู่แดนมกุฎก็เพื่อกลายเป็นราชันเช่นกัน
ทว่าที่เขาไล่ตามคือระดับมกุฎราชัน ทั้งมรรคาที่เดินอยู่ก็ไม่เหมือนผู้อื่นในโลก หมายจะเป็นราชันย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายปานนั้น
ระดับสังสารวัฏก็คือระดับราชัน
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การขึ้นเป็นราชันก็เท่ากับหลุดพ้นระดับใหญ่ทั้งห้า ทำลายพันธนาการแห่งการเกิดดับ มีผลกระทบมากมายเหนืออดีต เกี่ยวโยงถึงความสำเร็จมากน้อยบนมรรคาอมตะในอนาคต
หลินสวินตัดสินใจไว้นานแล้วว่าจะไม่เดินบนเส้นทางของคนในอดีต ต้องการเหยียบย่างลงบนมหามรรคที่เป็นของตนเอง ช่วงชิงความเป็นหนึ่งกับอริยะทั้งในอดีตและปัจจุบัน
อีกทั้งตามที่หญิงลึกลับพูดไว้ ระดับราชันยังกำหนดเส้นทางสู่การกลายเป็นอริยะในภายภาคหน้าด้วย!
หากก้าวนี้ทำได้ไม่ดี ความสำเร็จในภายหน้าก็ย่อมมีจำกัด
ตอนนี้หลินสวินมาถึงแดนเผาเซียนแล้ว เรื่องที่ต้องทำก่อนก็คือไปรวมตัวกับเจ้าคางคกและอาหลู่ จากนั้นถึงเสาะหาศุภโชคเพื่อเตรียมหลอมมรรคกลายเป็นราชัน!
……
สวบ!
ภูผาธารากว้างใหญ่ แดงชาดราวเปลวเพลิง หลินสวินวิเคราะห์ทิศทางแล้วเริ่มเร่งเดินทาง
แดนเผาเซียนเป็นหนึ่งใน ‘สามพันแดน’ ของแดนมกุฎ เปรียบเสมือนโลกใบน้อยขนาดมหึมาไร้ขอบเขตใบหนึ่ง ตลอดทางหลินสวินได้พบผู้ฝึกปราณไม่น้อย ต่างเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อน
เห็นได้ชัดว่ากำลังรีบทำเวลาหาศุภโชคและวาสนาทั้งนั้น
ไกลออกไปมีเสียงประจัญบานดุเดือดแว่วมาระลอกหนึ่ง ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกำลังห้ำหั่นกันจนภูผาธาราหม่นหมองหมอง ฟ้าดินสาดแสงไปทั่ว
พวกเขากำลังชิงบ่อน้ำหินเก่าแก่บ่อหนึ่ง บ่อน้ำหินนั้นมีแสงเพลิงเปล่งประกายพวยพุ่งออกมาเรื่อยๆ แสงเทพไพศาลไหลวน น่าตระหนกถึงที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเบื้องล่างของบ่อน้ำหินนั้นต้องมีศุภโชคซุกซ่อนไว้!
หลินสวินเหลือบมองครั้งหนึ่งก็หลบไปไกล เดินหน้าต่อไป
ตลอดทางนี้เขาได้พบการปะทะและห้ำหั่นทำนองนี้หลายครั้ง ที่ช่วงชิงกันย่อมเป็นโอสถวิญญาณ ของล้ำค่า วัตถุดิบเทพ และสมัติมหัศจรรย์บางประการ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นศุภโชค ถือเป็นวาสนาที่บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอในโลกภายนอก
แต่ของเหล่านี้ไม่ได้ดึงดูดหลินสวินมากนัก มรรคาของเขาเดินไปจนสุดทางแล้ว ที่ต้องการก็คือมหาศุภโชคที่ใช้หลอมเพื่อเป็นระดับมกุฎราชันชิ้นหนึ่ง
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สวบ!
เมื่อหลินสวินผ่านแม่น้ำที่มีสีแดงเพลิงหาใดเทียบสายหนึ่ง ปลาใหญ่ตัวหนึ่งพลันกระโจนขึ้นมาจากน้ำ อ้าปากจะกัดเขา
ปลาใหญ่ตัวนี้ยาวหลายจั้ง สีแดงเพลิงราวหยกทั้งตัว มีหัวเป็นมังกรหางเป็นปลา มีปีกเปลวเพลิงพิสดารงอกออกมาจากทั้งสองข้าง
ตู้ม!
มันแข็งแกร่งถึงที่สุด ยามกระโจนเข้ามาแสงเพลิงโหมกระพือเผาไหม้ห้วงอากาศ ในปากมหึมาที่อ้าออกฟันแหลมคมราวทวนซี่แล้วซี่เล่ามีประกายแสงโหดเหี้ยมน่ากลัวไหวเคลื่อน
ปึง!
ร่างกายหลินสวินพริบไหว หลบหนีอย่างง่ายดาย
ก็เห็นว่าภูเขาแคระเตี้ยลูกหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ถูกแสงเพลิงที่อยู่บนตัวปลาประหลาดสีแดงเพลิงนี้หลอมละลายจนสิ้นในชั่วพริบตาเสียอย่างนั้น
ในขณะเดียวกันเรือนกายหลินสวินพริบไหวอีกคราพุ่งเข้าโจมตี พลังหมัดยิงพุ่ง ปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลกที่สามารถสั่นคลอนฟ้าดินบังเกิดขึ้น
ปลาประหลาดสีแดงเพลิงไม่หลบไม่หนี สะบัดหางตั้งรับหมัดนี้ของหลินสวิน!
นี่ทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี ควรรู้ว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ต่อยออกไปสักหมัดก็เพียงพอจะสังหารบุคคลระดับยอดมกุฎรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งได้
ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ ก็ไม่กล้าสู้กับหลินสวินซึ่งหน้าง่ายๆ
แต่ตอนนี้ปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนี้กลับตั้งรับไว้ได้!
“น่าสนใจ เข้ามาอีก!”
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งกระโจนตัดห้วงอากาศ ทั้งร่างเปล่งแสงใสกระจ่าง ประหนึ่งเทพยาตราทัพ สำแดงนัยเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์
ไม่นานปลาประหลาดสีแดงเพลิงก็ตั้งกระบวนท่าไม่อยู่ ถูกพลังหมัดกำราบ เกล็ดปลาบนร่างเริ่มหลุดร่วงอย่างต่อเนื่อง
สวบ!
ฉับพลันนั้นปลาประหลาดสีแดงเพลิงสังเกตได้ว่าไม่สู้ดี เผ่นหนีไปโดยไม่ลังเล พุ่งไปที่แม่น้ำสีแดงเพลิงสายนั้นอย่างรวดเร็วหาใดเทียบ
หลินสวินตามประชิดโจมตี
ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เงาร่างของปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนี้หดเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือในทันใด หลบหนีการสังหารของเขาอย่างตื่นกลัวเข้าไปในน้ำ
ซ่า!
ฟองคลื่นสีแดงเพลิงสาดกระเซ็น เมื่อหันไปดูปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนั้นก็หายลับไปแล้ว
ปล่อยให้ปลาตัวหนึ่งหลุดมือไปได้ทำเอาหลินสวินออกจะเสียหน้า ขณะที่กำลังจะตามไป ความหวาดผวาสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในจิตใจ
เหมือนกับใต้แม่น้ำสีแดงเพลิงนั้นมีสิ่งที่น่าครั่นคร้ามยิ่งบางอย่างซ่อนอยู่!
หลินสวินหยุดเท้าทันที เงาร่างถอยหลัง ส่วนจิตรับรู้แผ่ขยายออกไปสำรวจด้านล่างของแม่น้ำสายนั้น
ชั่วพริบตาภาพการณ์พิสดารหาใดเทียบฉายขึ้นในสมอง
ในที่ที่ลึกลงไปพันจั้งของแม่น้ำ กลับมีประตูสำริดลี้ลับบานหนึ่ง ด้านบนสลักด้วยลายมรรคพร่างพร้อย ประกายแสงแปลกประหลาดไหวเคลื่อนอยู่
ส่วนด้านข้างประตูสำริดก็มีเสาหินเสาหนึ่งตั้งตระหง่าน บนเสาหินมีสายโซ่แดงเพลิงใหญ่หนาเปล่งปลั่งเส้นหนึ่งพันอยู่
ส่วนปลายอีกด้านของสายโซ่ผูกไว้กับรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจตัวหนึ่ง
สัตว์ปีศาจนั้นรูปร่างเหมือนเจียวหลง ร่างหนาใหญ่ราวสันเขาปักหลักอยู่ก้นแม่น้ำ ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ
ทันทีที่จิตรับรู้ของหลินสวินสัมผัสถึงรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจก็พลันหนาวเหน็บในใจ แข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกถึงความกดดันและหวั่นกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
ฮูม!
แทบจะในขณะเดียวกันรูปปั้นสัตว์ปีศาจนั้นเหมือนมีชีวิตขึ้นมา กลิ่นอายดุร้ายน่าครั่นคร้ามถาโถมแผ่กระจายออกมา ทำให้แม่น้ำสายนี้เดือดคลั่งขึ้นทันตา
ทว่ากลิ่นอายดุร้ายนี้ยังไม่แผ่ขยายออกมาก็ถูกโซ่สีเพลิงที่ผูกอยู่บนรูปปั้นหินนั้นกำราบไว้
สายโซ่เส้นนั้นส่องแสงเปล่งปลั่งเป็นประกาย ปรากฏเป็นสัญลักษณ์ลึกลับ กดข่มความดุร้ายของรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจนี้ไว้มั่น
หลินสวินใจสะท้าน
ใต้แม่น้ำสายหนึ่งกลับมีประตูสำริดบานหนึ่งอยู่ และด้านหนึ่งของประตูมีรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งถูกพันธนาการไว้ด้วยสายโซ่
ภายในประตูสำริดบานนั้นซ่อนอะไรไว้
แล้วรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจนั้นถูกกำราบไว้ที่นี่หรือไม่ กำลังเฝ้าประตูสำริดบานนี้อยู่หรือ
ครุ่นคิดครู่หนึ่งหลินสวินก็ตัดสินใจจากไปอย่างไม่ลังเล
ที่นี่อันตรายและพิสดารเกินไปแล้ว ไม่ใช่ที่ที่เขาในตอนนี้จะสำรวจได้เลย หากบุ่มบ่ามเข้าไป กลับมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันถึงแก่ชีวิต
‘คิดไม่ถึงว่าในแดนมกุฎแห่งนี้ยังมีสถานที่อันตรายเช่นนี้ด้วย บางทีเมื่อข้าเหยียบย่างเข้าสู่ระดับราชัน อาจจะเข้าไปสำรวจสักครั้งได้’
หลินสวินพอจะรู้สึกได้รางๆ ว่าเป็นไปได้สูงที่ภายในประตูสำริดบานนั้นจะซ่อนอะไรไว้!
ปักษาทมิฬตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ กำกระทะใบหนึ่งไว้ในกรงเล็บ เข้ามาข้างหลังหลินสวินอย่างเงียบเชียบ กระทะเล็งเข้าที่ท้ายทอยของหลินสวินอย่างแม่นยำ จากนั้นก็ยกขึ้นโดยพลัน…
แต่ในตอนนี้เองหลินสวินก็หันกายฉับไว
ฟึ่บ!
กระทะที่ยกขึ้นมากลางอากาศถูกเก็บไปไว้ด้านหลังของปักษาทมิฬตัวใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นมันก็แหงนหน้าขึ้น ไอกระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดอย่างเนิบนาบว่า “ฮ่า พ่อหนุ่ม พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
หลินสวินจะยิ้มก็ไม่ใช่ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ที่แท้ก็เป็นเจ้า ทำไมถึงชอบแบกกระทะไว้เหมือนเมื่อก่อนนะ”
ชอบแบกกระทะ…
ปักษาทมิฬงุนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแหะๆ กวาดสายตามองไปรอบด้านแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่ม ข้ายังมีธุระ ไปก่อนล่ะ”
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ปีกนกสีดำใหญ่สยายออกแล้วพุ่งเข้าไปในห้วงอากาศ เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อประหนึ่งเคลื่อนย้ายมวลสารฉับไว
“ต้าเฮย อย่าเพิ่งไป!”
แทบจะในเวลาเดียวกันหลินสวินทะยานขึ้นไปบนฟ้า โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งถึงขีดสุด เงื้อมือซัดลูกหมัดกระแทกออกไปครั้งหนึ่ง
ปักษาทมิฬตัวนี้ไม่ธรรมดานัก!
ตอนนั้นในอารามโบราณหักพังที่อยู่ใต้วังน้ำวนแม่น้ำพรมแดน มันมีรูปร่างเหมือนหงส์ทมิฬ สองปีกดำขลับราวราตรีนิรันดร์ แสงธรรมแปลกประหลาดสายแล้วสายเล่าตลบอบอวล
มันเคยถูกมองว่าเป็นครรภ์พุทธะ เก็บตัวเงียบจำศีลอยู่ภายในซุ้มธรรมหลังหนึ่ง ภายหลังถูกมู่เจิ้งหนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ใช้วิชาลับปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้น
ตามที่มู่เจิ้งพูดไว้ ปักษาทมิฬใหญ่ตัวนี้ก็คือ ‘ครรภ์พุทธะ’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนตัวหนึ่ง เป็นไปได้สูงที่จะเป็นสิ่งที่อริยะตู้จี้หลงเหลือไว้!
หลินสวินยังจำได้อย่างแจ่มชัดว่าตอนนั้นปักษาทมิฬใหญ่ถือกระทะ ทุบตีอย่างป่าเถื่อนเรียบง่ายไม่กี่ทีก็ทำให้บุคคลขอบเขตมกุฎแห่งอารามกษิติครรภ์อย่างมู่เจิ้งสลบเหมือด โหดร้ายถึงที่สุด
อีกทั้งเจ้าหมอนี่ยังเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง สับปลับชั่วช้าหาใดเทียบ ชอบลอบโจมตีที่สุด เมื่อกี้หากเขาไม่สังเกตเห็นก่อน ก็เกือบถูกเจ้าหมอนี่ใช้กระทะทุบเข้าที่ท้ายทอยเสียแล้ว!
ตู้ม!
ไกลออกไปปักษาทมิฬตัวใหญ่สะบัดปีก เพลิงธรรมสีดำพิสดารลุกโชนขึ้นมา ทำให้พลังหมัดของหลินสวินที่อยู่กลางอากาศหลอมละลายไปสิ้น
“ข้าปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม ปกติไม่ชอบลงมือ แต่หากเจ้ายังลงมืออีกก็อย่าโทษข้าที่ตบเจ้าก็แล้วกัน!”
ปักษาทมิฬตัวใหญ่น้ำเสียงกะล่อน
“ถ้าเจ้ารั้งอยู่ข้าก็ไม่ลงมือ”
หลินสวินยิ้มพูด
ยามสนทนาทั้งสองต่างไม่ได้หยุดมือ คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่กวด ว่องไวอย่างประหลาดหาใดเทียบ แข่งขันกันเหนือห้วงอากาศ
“ให้ตายสิ ตอนนั้นเจ้าชิงศุภโชคที่ตาแก่ตู้จี้เหลือไว้ให้ไป ข้ายังไม่คิดบัญชีกับเจ้าก็บุญแล้ว เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก”
ปักษาทมิฬพูดอย่างหมดความอดทน
หลินสวินพูดอย่างจริงจังว่า “เพราะแบบนี้ล่ะ ข้าถึงคิดว่าพวกเราต้องคุยกันสักหน่อย ไม่แน่ข้าอาจจะเอาศุภโชคมาคืนเจ้าก็ได้”
ในมือเขายังมีไม้โพธิ์เหี่ยวแห้งท่อนหนึ่ง ในไม้โพธิ์ผนึกพลังสีทองที่น่ากริ่งเกรงสูงส่งถึงที่สุด
จากการสันนิษฐานของหลินสวิน ในอดีตปักษาทมิฬตัวนี้เก็บตัวเงียบเชียบในซุ้มธรรมหยกดำแห่งนั้นโดยตลอด ต้องรู้ความลับที่คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้บางอย่างแน่
“คืนให้ข้าหรือ”
ปักษาทมิฬนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะบ้าคลั่งขึ้นมาทันที “ศุภโชคนี้เกี่ยวโยงกับมรรคต้องห้าม ข้าไม่ต้องการเสียหน่อย เกิดภายหน้าม้วยไปแบบตาแก่ตู้จี้จะทำอย่างไร”
จากนั้นเขาก็เหมือนมีความสุขที่เห็นคนอื่นลำบากอยู่บ้าง พูดว่า “พ่อหนุ่ม ข้าขอเตือนให้เจ้าระวังหน่อยเถอะ สิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์กับ ‘กู่ฝอจื่อ’ ที่เก็บตัวเงียบตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนกระทั่งตอนนี้เพิ่งปรากฏตัวบนโลก ตอนนี้เข้ามาในแดนมกุฎแล้ว ส่วนเจ้าถูกไอ้โล้นพวกนี้มองว่าเป็น ‘คนนอกรีต’ อย่างที่สุด!”
เสียงพูดเงียบลง ปักษาทมิฬทะยานขึ้นฟ้าไปแล้ว รวดเร็วขึ้นอย่างมาก หายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งเคลื่อนย้ายในพริบตา
หลินสวินหยุดเท้า รู้ว่าตามไม่ทันแล้ว
ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์หรือ
คนนอกรีตชั้นเลิศหรือ
หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจไม่ได้กริ่งเกรง เพียงแต่ออกจะกังขาว่าคำพูดของปักษาทมิฬตัวนี้หมายความว่าอย่างไร
เป็นเพราะตนได้ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยะตู้จี้กับหงส์ทมิฬหลงเหลือไว้หลังจากสิ้นชีพ ถึงได้ถูกอารามกษิติครรภ์เพ่งเล็งหรือ
แล้ว ‘กู่ฝอจื่อ’ นั่นเป็นใครอีก
——