ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 163 อาณาเขตกระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กระบี่มีชื่อกว่าร้อยเล่มที่หมุนคว้างอยู่ในอากาศราวกับลมพายุ นำความกดดันเข้ามาอย่างท่วมท้น

เมื่อมองเห็นภาพนี้แล้วรู้สึกถึงเจตจำนงของกระบี่อย่างชัดเจน ผู้คนที่อยู่รอบหอทัศนะต่างก็ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

ในที่สุดก็ได้ยลเพลงกระบี่ในตำนานแล้ว ผู้คนต่างก็รู้สึกตกตะลึง หลังจากนั้นก็เกิดความรู้สึกเกรงกลัว สุดท้ายแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

เนื่องจากคำกล่าวที่ราชามารเอ่ยนั้น…หมายถึงเพลงกระบี่อะไรกันเล่า

หรือว่าครานี้เฉินฉางเซิงไม่ได้ใช้เพลงกระบี่ในตำนานนั่นหรือ แต่นี่ก็หาได้แตกต่างจากที่ตำนานกล่าวไว้เลยนี่นา

มีเพียงหัวหน้าเผ่าเซี่ยงและเหล่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจากเผ่ามารเท่านั้น ที่มองไปยังกระบี่กว่าร้อยเล่มซึ่งหมุนคว้างกลางอากาศ จึงได้ค่อยๆ รู้สึกว่าเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงกับที่ตำนานว่าไว้นั้นไม่เหมือนกันหลายส่วน

ราชามารรู้ว่าเฉินฉางเซิงสามารถปลิดกลีบบุปผาสาลี่ทั้งนภาได้ด้วยตนเอง แม้กระทั่งนี่ก็เป็นภาพที่เขาประสงค์ตั้งแต่คราแรก

เนื่องจากกลยุทธ์หรือไม้ตายที่แท้จริงของเขานั้น ถูกซ่อนเอาไว้หลังกลีบบุปผาที่ปลิดปลิวทั่วฟ้าแล้วต่างหาก

หมื่นกระบี่พุ่งถลา นั่นคือไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินฉางเซิง

ใช้กระบี่ต่างกันแสดงออกถึงการเคลื่อนกระบี่ที่ต่างกัน นั่นคือเรื่องที่สุดแสนจะเหลือเชื่อ

นี่ต้องใช้สติปัญญาอันแข็งแกร่งและมั่นคงมากนัก ต้องแจ้งชัดในทุกกลกระบี่

ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เพลงกระบี่นี้ล้วนควรจะนับว่าเป็นจุดสุดยอดของเพลงกระบี่จริงๆ

ต่อให้พลังกระบี่ของเฉินฉางเซิงจะสั่นสะเทือนฟ้าดินเพียงใด ก็ไม่สามารถพัฒนาไปมากกว่านี้ได้

เนื่องจากกระบี่เหล่านั้นล้วนเป็นกระบี่ที่เป็นเอกเทศ ไม่ว่าในแง่ของเจตจำนงกระบี่หรือรูปลักษณ์ หรือแม้แต่กระบวนท่ากระบี่เอง ล้วนมีความแตกต่างกันมาก

ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้กระบี่เหล่านี้หลอมรวมเป็นหนึ่งได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นเพลงกระบี่ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

ต่อให้เป็นเฉินเสวียนป้าฟื้นคืนชีพมาก็เถิด ซูหลีเริ่มต้นเรียนวิชากระบี่ใหม่อีกครา ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้

เฉินฉางเซิงเดิมทีก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้

ก่อนหน้ายามเขาออกเพลงกระบี่ก็ราวกับนักกระบี่ในขั้นรวบรวมดวงดาวกว่าร้อยคนออกเพลงกระบี่พร้อมกัน

เพลงกระบี่เยี่ยงนี้มีพลังมากนัก ณ ตรอกซือหม่าทัพเหนือ ท่ามกลางพื้นที่ราบหิมะ ในคืนหนึ่ง ณ สันเขาหิมะ สามารถทำให้เสี่ยวเต๋อและเหล่ามือสังหารของหอความลับสวรรค์จนใจในเขาได้ สามารถสังหารกองพันหมาป่าเผ่ามารที่มีร่วมร้อยชีวิตในเวลาไม่กี่อึดใจได้ สามารถทำให้เขารักษาชีวิตเอาไว้ได้ชั่วคราวเมื่ออยู่ภายใต้เงื้อมมือของราชามาร

แต่เพลงกระบี่นี้ก็มีจุดที่เอาชีวิตได้เช่นกัน นั่นก็คือการแยกกันรบ จวบจนเมื่อพลังกระบี่ลดทอนลงไปเมื่อใด ก็จะบังเกิดช่องโหว่ให้เห็นทันที

กระบี่เหล่านั้น กระบวนท่ากระบี่เหล่านั้น มือกระบี่ที่เรียกขานว่าเฉินฉางเซิงเหล่านั้น สุดท้ายก็ไม่สามารถกลายเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม กระบวนท่าหนึ่ง หรือกระทั่งเฉินฉางเซิงคนหนึ่งได้

นี่ก็คือช่องโหว่ที่ราชามารอยากจะคว้าเอาไว้ และก็คือห้วงเวลาแห่งความตายที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้เพื่อเฉินฉางเซิง

แต่เขาคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่กระบี่กว่าร้อยเล่มเหล่านั้นปลิดกลีบบุปผาสาลี่ทั้งนภาแล้วสิ้น ก็มิได้หยุดชะงักลง แต่กลับมั่นคงกว่าเดิมมาก

กระบี่กว่าร้อยเล่มนั้นยังคงดูราวกับมีความหนักแน่นอย่างนั้น ทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกราวกับไม่มีช่องให้โจมตีได้เลย

ดังนั้นราชามารจึงมิได้โจมตี

เขาแจ้งแก่ใจนัก เฉินฉางเซิงมิอาจหลอมหลวมกระบี่ทั้งหมดให้เป็นเล่มเดียวได้

หากมรรคากระบี่ของเฉินฉางเซิงแข็งแกร่งถึงระดับนั้นละก็ อย่างนั้นแค่เพียงเขายกเท้าก็ย่างก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นแน่ และเขาในตอนนี้ก็คงสิ้นใจแล้วเป็นแน่

แม้ว่าตอนนี้มู่ฮูหยินจะอยู่ด้วย

เฉินฉางเซิงน่าจะใช้วิธีการบางอย่างแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้

ก่อนหน้ายามเขาใช้กระบี่ ทิศทางของกระบี่เหล่านั้นกระจัดกระจายนัก ดูแล้วเหมือนกระบี่จักทำการตามอำเภอใจ

แต่วันนี้ไม่ว่าจะเป็นการปลิดกลีบบุปผาสาลี่ด้วยความเร็วสูง หรือว่าการที่กระบี่ยังลอยคว้างอย่างสงบนิ่งอยู่กลางอากาศ กระบี่กว่าร้อยเล่มนั้นทิศทางของมันต่างก็แน่ชัด ราวกับจะไม่มีอะไรมาทำให้พวกมันเปลี่ยนแปลงได้

ตำแหน่งนั้นสัมพันธ์กัน ความแน่นอนนี้ต้องเกี่ยวข้องกันเป็นแน่

ไม่ว่าจะเป็นระยะห่าง หรือว่ามุมมอง ล้วนเกี่ยวข้องกัน

ความเชื่อมโยงระหว่างกระบี่สองด้าม ล้วนเป็นเส้นเดียว

ความเชื่อมโยงระหว่างกระบี่สามด้าม ล้วนเป็นกำแพง

ความเชื่อมโยงของกระบี่นับร้อย นั่นคือโลกทั้งใบ

โลกทั้งใบนั้นก็คืออาณาเขตนั่นเอง

อาณาเขตของเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวเรียกว่าอาณาเขตดวงดาว อย่างนั้นอาณาเขตที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกับของกระบี่อาจจะเรียกขานได้ว่า เป็นอาณาเขตกระบี่

เฉินฉางเซิงและลั่วลั่วยืนอยู่ท่ามกลางมวลกระบี่ที่โหมกระหน่ำ

ดวงดารานับไม่ถ้วนพุ่งตัวออกมาจากอาภรณ์เขา ส่องแสงเปล่งประกายไปที่กระบี่เหล่านั้น

อาณาเขตดวงดาวอันสมบูรณ์แบบซ้อนทับอยู่กับอาณาเขตกระบี่อันสมบูรณ์แบบ

กระบี่เหล่านั้นสั่นไหวไปตามแรงลม ตัวกระบี่เริ่มทอแสงออกมา ราวกับเป็นดวงดาวจริงๆ

นี่ก็คือโลกแห่งดวงดาวของเขา ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้

……

……

เมื่อกระบี่เหล่านั้นหลุดออกจากฝัก กลับมิได้แยกกันออกไปโดยสิ้นเชิง แต่กลับบังเกิดความสัมพันธ์ใกล้ชิดราวกับอาคันตุกะก็มิปาน

เพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้

ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจต่างเพิ่งเคยเห็นเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมองไม่ออกถึงความแปลกประหลาด

ราชามารเคยรบกับเฉินฉางเซิงมาก่อนยามที่ยังอยู่สันเขาหิมะ อีกทั้งวันนี้ได้เข้าใกล้กระบี่พวกนั้น ดังนั้นความรู้สึกจึงแจ้งชัดนัก เขาจึงค้นพบปัญหาได้ก่อน

เขาขบคิดแล้วไม่เข้าใจจึงถามออกไปว่า

“นี่ถือเป็นเพลงกระบี่อันใดกัน”

บนหอทัศนะบังเกิดความเงียบในฉับพลัน

เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจอีกหลายพบเจอปัญหานี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของอาณาเขตของกระบี่รอยนั้น ดังนั้นเมื่อมองไปยังกระบี่กว่าร้อยเล่มบนอากาศแล้วจึงรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก

สายตาของมู่ฮูหยินเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน

หลายปีที่เคยอยู่ในเมืองหลวง ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยพบเจอกับเฉินฉางเซิงซึ่งหน้า แต่เคยสังเกตการต่อสู้อันโด่งดังทั้งหลายของเขามาก่อนหน้า

ครานั้นเฉินฉางเซิงก็แสดงออกชัดเจนแล้วว่ามรรคากระบี่ของเขาล้ำเลิศเกินอายุ นั่นทำให้นางลอบตื่นตัวขึ้นทันที

นางคาดไม่ถึงเลยว่า ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี มรรคากระบี่ของเฉินฉางเซิงจะพัฒนาขึ้นมากเช่นนี้

ครั้นเมื่อดวงดาวสาดส่องไปยังอาณาเขตกระบี่ นางมองเห็นแม้กระทั่งความรู้สึกของเทพศักดิ์สิทธิ์กว่าครึ่งในกายเฉินฉางเซิง

ไม่น่าเล่าเขาจึงสามารถทำลายข้อห้ามสองฝั่งแม่น้ำแดงได้ด้วยไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ได้

เพียงแต่ว่าอาณาเขตกระบี่นี้มันอย่างไรกันเล่า หรือเป็นเพราะเพลงกระบี่ชุดนั้นรึ เป็นไปไม่ได้ เขาเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น…

มู่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่ค่อยอยากเชื่อในข้ออนุมานของตนเท่าใดนัก

ครานี้ราชามารเอ่ยออกมาอีกครั้งว่า “โปรดชี้แนะด้วย”

ท่าทางของเขาเคร่งขรึมยิ่งนัก มองดูจริงจังมาก

ลมหนาวบางเบาพัดปัดละอองฝุ่นบนหอทัศนะ ครานี้ไม่มีแล้วซึ่งดอกไม้สีขาวที่สั่นไหว

ดวงอาทิตย์ยามนี้ป่ายปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดบนนภาอย่างเงียบเชียบ แต่กลับถูกเมฆหมอกที่หลั่งไหลมาจากทะเลตะวันตกบดบังโฉมหน้า

ในความเงียบสงัดนั้น สายตามากมายจดจ้องไปที่เฉินฉางเซิง รอคอยคำตอบของเขา

เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยความใด

ลั่วลั่วโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังเขาอีกครั้ง นางมองไปยังราชามาร หัวเราะพลางเอ่ย “ไม่บอกเจ้าหรอก ให้เจ้าร้อนรนไปนั่นแหละ”

ราชามารมิได้สนใจนาง เขามองไปที่เฉินฉางเซิงพลางเอ่ย “คาดไม่ถึงว่าเพียงเวลาไม่กี่วัน มรรคากระบี่ของเจ้าพัฒนาขึ้นมากโข เพียงแต่อาณาเขตกระบี่ยังอยู่ภายใต้การชักนำของอาณาเขตดวงดาว เจ้าจะทำได้ไร้ที่ติก็ต่อเมื่อใช้ป้องกันเท่านั้น เมื่อทำการโจมตีจะเกิดช่องโหว่มากมาย อยากใช้กลยุทธ์นี้สังหารข้าหรือ นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดเพ้อเจ้อเท่านั้น”

เฉินฉางเซิงยังมิได้เอ่ยคำใด เขาค่อยๆ ดึงกระบี่สั้นไร้ราคีออกมา แล้วนำด้ามกระบี่ไปเสียบต่อกับฝักกระบี่ซ่อนคม

เมื่อเห็นภาพฉากนี้ บรรยากาศ ณ หอทัศนะก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาก เพราะแม้นว่าไม่เคยเห็นด้วยตา แต่หลายคนล้วนเคยได้ยินเรื่องลักษณะการลงมือของท่านใต้เท้าสังฆราชทั้งนั้น

ลั่วลั่วถอยไปเบื้องหลังสองก้าว นางกุมลูกปัดหินในมือแน่น

เฉินฉางเซิงท่าทางสงบนิ่ง แต่ทุกคนล้วนมองออกถึงจิตสังหารนั้น

เขาปรารถนาจะสังหารราชามารให้สิ้น

หลังจากใต้เท้าโจวทงแล้ว เขาแจ้งชัดอย่างมาก กระทั่งกระหายในการปรารถนาจะสังหารคนคนหนึ่ง

ต่อให้เป็นเรื่องเพ้อเจ้อจริงๆ ก็ยังปรารถนาเช่นนั้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความมั่นใจที่เขามีในตอนนี้เลย

ขอเพียงมู่ฮูหยินและเหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจพวกนั้นไม่ยื่นมือเข้ามา

เขามีก็ความมั่นใจถึงเจ็ดส่วน